โจทก์ฟ้องว่า โจทก์แบ่งที่นาของโจทก์ออกขายเป็นแปลงย่อยเพื่อปลดเปลื้องหนี้สิน แต่จำเลยเห็นว่าโจทก์ขายที่ดินอย่างเป็นทางการค้าหรือหากำไร จึงแจ้งการประเมินและมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้โจทก์เสียภาษีการค้า เบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม ๘ แสนบาทเศษ ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า อสังหาริมทรัพย์การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า โจทก์ซื้อที่ดินแปลงพิพาทมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ ในราคา ๒๒,๓๒๐ บาท ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๒๐ โจทก์แบ่งที่ดินออกเป็น ๑๐๒ แปลงแล้วให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยใหม่ก่อสร้างปรับปรุงที่ดินให้โจทก์ โดยทำถนน ติดตั้งเสาไฟฟ้า น้ำประปา และสร้างตึกแถวลงบนที่ดินที่แบ่งแยก จากนั้นโจทก์และห้างดังกล่าวก็ขายที่ดินพร้อมตึกแถวโดยโจทก์ทำสัญญาและจดทะเบียนโอนขายเฉพาะที่ดิน ส่วนห้างดังกล่าวทำสัญญาขายเฉพาะตึกแถว กรณีเช่นนี้เห็นได้ว่า โจทก์ให้ห้างดังกล่าวปรับปรุงที่ดินของโจทก์แล้วสร้างตึกแถวลงบนที่ดินของโจทก์โดยมุ่งแบ่งผลประโยชน์กันในการขายตึกแถวพร้อมที่ดิน ให้ราคาที่ดินตกเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว ส่วนห้างดังกล่าวซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการปลูกตึกแถวและปรับปรุงที่ดินได้ส่วนแบ่งในราคาขายตึกแถวไป การขายตึกแถวพร้อมที่ดินของโจทก์และห้างดังกล่าวนั้น ได้มีการขายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโจทก์นั้นขายเฉพาะที่ดินได้ในราคาตารางวาละถึง ๕,๐๐๐ บาท มีกำไรถึงประมาณ ๑,๐๐๐ เท่า ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ โจทก์ขายที่ดินไปถึง ๕๘ แปลง เป็นเงิน ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ ขายไป ๑๓ แปลง เป็นเงิน ๒,๖๐๐,๐๐๐ บาทเศษ และในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ขายไป ๒ แปลง เป็นเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาทเศษ เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าโจทก์ประกอบธุรกิจการค้าหากำไร โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าประเภทการค้าอสังหาริมทรัพย์อันเป็นการค้าประเภทที่ ๑๑ ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าที่โจทก์อ้างว่าโจทก์มีหนี้สินมากจำเป็นต้องขายที่ดินแปลงนี้นั้น หาเป็นข้อแก้ตัวที่จะทำให้โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าไม่ เพราะผู้ประกอบการค้าที่มีหนี้สินก็ยังคงเป็นผู้ประกอบการค้าอยู่นั่นเอง การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน.