ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 2,700 บาท และชำระต่อไปอีกเดือนละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 702 ตำบลนาทมอำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ จำเลยได้ปลูกบ้านในที่พิพาทก็ถูกโจทก์กล่าวหาว่าบุกรุก และโจทก์จำเลยได้ตกลงกันมีรายละเอียดปรากฏตามบันทึกสำเนารายงานประจำวันเอกสารหมาย จ.3(เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4) จำเลยมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงจึงถูกพนักงานอัยการฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1405/2524 ของศาลชั้นต้น โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ภายหลังกำหนดเวลาที่จำเลยตกลงกับโจทก์ล่วงเลยไปเกินกว่า 1 ปี คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า อายุความตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นอายุความเกี่ยวกับการแย่งสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าหาใช่อายุความจากสิทธิเรียกร้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องหรือมีคำขอท้ายฟ้อง และศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นไว้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงเป็นการวินิจฉัยไม่เกี่ยวกับประเด็น จำเลยครอบครองที่พิพาทเกินกว่า 27 เดือนย่อมได้สิทธิครอบครอง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายนั้น ได้พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 ก. ของโจทก์ จำเลยบุกรุกปลูกบ้านโจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านแพง พนักงานสอบสวนได้เชิญตัวจำเลยไปสอบสวน จำเลยยอมรับว่าที่ดินที่จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยนี้เป็นของโจทก์ ตกลงจะรื้อถอนบ้านพักซึ่งได้ปลูกขึ้นออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 9 มีนาคม 2523 ปรากฏตามบันทึกสำเนารายงานประจำวันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 (เอกสารหมาย จ.3) แต่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไป ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย จำเลยมิได้ปฏิเสธข้อตกลงตามบันทึกนั้นแต่อย่างใด คงอ้างแต่เพียงว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่พิพาทมาเกินกว่า 1 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเท่านั้น ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จึงหาได้หมายความเฉพาะอายุความเสียสิทธิของโจทก์ เพราะไม่ฟ้องคดีเมื่อถูกแย่งการครอบครองที่พิพาทไปเกินกว่า 1 ปี ตามที่จำเลยต่อสู้เท่านั้นไม่ หากแต่รวมถึงสิทธิเรียกร้องตามข้อตกลงซึ่งโจทก์จำเลยตกลงกันตามเอกสารหมาย จ.3 ว่าขาดอายุความหรือไม่ด้วยปรากฏจากข้อตกลงในเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งโจทก์จำเลยต่างลงชื่อในข้อตกลงนั้น เป็นการตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ การฟ้องคดีของโจทก์โดยอาศัยสิทธิอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168แม้จำเลยจะแย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปีแต่นับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี ฟ้องของโจทก์จึงหาขาดอายุความไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 300 บาทแทนโจทก์