โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2519 เวลากลางคืน จำเลยได้บังอาจพาอาวุธปืนมีทะเบียนของจำเลยเองซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ซื้อถูกต้องแล้วติดตัวไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ข้อ 3, 7ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้คืนของกลางแก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และลงโทษบทหนักแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งมิได้บัญญัติเกี่ยวกับการริบอาวุธปืนในความผิดดังกล่าวได้ และเมื่อไม่ได้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นบทลงโทษจำเลย ศาลจะใช้ดุลพินิจริบอาวุธปืนตามมาตรา 371 นี้ไม่ได้ ต้องพิจารณาริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33 ซึ่งเป็นบททั่วไป แต่อาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตถูกต้องแล้ว จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดหรือได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดอันจะต้องริบ พิพากษาแก้ให้คืนอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางแก่จำเลย
โจทก์ฎีกาขอให้ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ในชั้นนี้มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจะริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยกระทำผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และลงโทษบทหนักแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 แล้ว จึงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 327 ไม่ได้ เมื่อลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางนี้จำเลยได้รับอนุญาตโดยชอบ ไม่ทำให้อาวุธปืนที่มีใบอนุญาตตกเป็นปืนที่ผิดกฎหมาย บทลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯดังกล่าวไม่ได้ให้อำนาจศาลสั่งริบ จึงริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางไม่ได้ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน