โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อซีตรอง ซีเอ็กซ์ 20 หมายเลขทะเบียน 8 จ-4276 กรุงเทพมหานครพร้อมอุปกรณ์จากโจทก์ในราคาเช่าซื้อ 399,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อ งวดละเดือน เดือนละ 11,084 บาท รวม 36 งวด กำหนดชำระทุกวันที่ 20 ของเดือน จำเลยที่ 1 ตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดิน และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดรวมทั้งอัคคีภัยด้วยในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อแล้วจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์รวม13 งวด ถึงเดือนมิถุนายน 2531 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตลอดมา โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างภายใน 30 วัน ครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 ก็เพิกเฉย โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งการบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 2 แล้วขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน399,000 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 88,672 บาท พร้อมทั้งค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 11,084 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้ออำพรางการกู้ยืมเงิน จำเลยที่ 2 ค้ำประกันการกู้ยืมเงินจำเลยที่ 1 มิใช่ค้ำประกันการเช่าซื้อของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ไม่เคยผิดสัญญาชำระหนี้ตลอดเวลาที่ครอบครองรถ จำเลยที่ 1ดูแลรักษารถมาด้วยดี เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2531 เวลาประมาณ18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 บุตร 3 คน มารดาและจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันนั่งรถพิพาทไปตามถนนศรีนครินทร์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับระหว่างรถพิพาทกำลังแล่นปรากฏว่ามีไฟลุกไหม้ขึ้นที่หน้ารถเป็นเหตุให้รถพิพาทถูกไฟลุกไหม้ทั้งคันซึ่งเกิดจากสภาพของตัวรถพิพาทที่โจทก์ต้องรับผิดชอบ เพราะความเสียหายมิได้เกิดจากเหตุภายนอกหรือเกิดจากจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน254,908 บาท แก่โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกมีว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินหรือไม่เห็นว่า แม้เดิมจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อนำมาชำระค่าซื้อรถพิพาทที่ยังขาดอยู่ 300,000 บาท แต่เมื่อโจทก์ต้องการให้โอนกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทให้เป็นของโจทก์ก่อนแล้วให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ได้ยินยอมตกลงตามความประสงค์ของโจทก์ โดยได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ได้ผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อมา 13 งวด ย่อมถือว่าคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยที่ 2 ขับรถพิพาทไปนั้นได้เกิดไฟลุกไหม้รถพิพาทเสียหายทั้งคันเห็นว่า เมื่อรถพิพาทอันเป็นทรัพย์สินที่เช่าซื้อเสียหายไปทั้งคันสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 567 ประกอบด้วยมาตรา 572 แม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่าผู้เช่าซื้อจะต้องรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและมีการซ่อมแซมที่ดี และรับผิดชอบแต่ผู้เดียวสำหรับการเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายทุกชนิดของทรัพย์สิน รวมทั้งอัคคีภัยด้วย แต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมหมายถึงการสูญหายหรือเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดเท่านั้น แต่โจทก์มีนายวีรศักดิ์ เอื้ออรุณพานิช มาเบิกความเพียงปากเดียวเฉพาะเรื่องที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเท่านั้น นายวีรศักดิ์หาได้เบิกความถึงไม่ว่าเป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ 1 อย่างไรหรือไม่ ในกรณีที่รถพิพาทถูกไฟไหม้ การที่จำเลยที่ 2 ขับรถพิพาทไปแล้วเกิดไฟลุกไหม้อาจจะเกิดจากสภาพของรถก็ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยได้เสี่ยงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชำระราคารถพิพาทให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์