โจทก์ทั้งสิบสองฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2928/2560, 2929/2560, 3021/2560, 3025/2560, 3026/2560, 3027/2560, 3028/2560 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาฉ้อโกงให้ประทับฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 และโจทก์ที่ 9 ถึงที่ 11 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือไม่ ตามทางไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์ทั้งสิบสองได้ความว่า โจทก์ทั้งสิบสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านในโครงการจัดสรรหมู่บ้านศุภวรรณ 1 จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโครงการจัดสรรหมู่บ้านศุภวรรณ 1 ร่วมกับนางเจือจันทร์ มารดาของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองและนางเจือจันทร์ร่วมกันเปิดขายที่ดินและบ้านโครงการจัดสรรโครงการจัดสรรหมู่บ้านศุภวรรณ 1 เมื่อปี 2518 ปิดการขายเมื่อปี 2532 นางเจือจันทร์กับจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ทั้งสิบสองโดยปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่า โครงการจัดสรรหมู่บ้านศุภวรรณ 1 ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 พ.ศ. 2515 และนางเจือจันทร์ยังได้แจ้งต่อโจทก์ทั้งสิบสองว่า นางเจือจันทร์ได้จัดให้มีสาธารณูปโภคอันเป็นทรัพย์ส่วนกลางสำหรับผู้ซื้อที่ดินจัดสรรและบ้านในโครงการดังกล่าว ได้แก่ ถนนภายในหมู่บ้าน ท่อระบายน้ำ ระบบประปา ไฟฟ้า ระบบบำบัดน้ำเสีย พื้นที่ลานจอดรถ สนามเด็กเล่น และสวนสาธารณะ จากการหลอกลวงดังกล่าว ทำให้จำเลยที่ 1 และนางเจือจันทร์ได้ไปซึ่งเงินค่าซื้อที่ดินและบ้านที่โจทก์ทั้งสิบสองได้ชำระให้แก่จำเลยที่ 1 และนางเจือจันทร์ และจากการที่จำเลยที่ 1 และนางเจือจันทร์ไม่ขออนุญาตจัดสรรที่ดิน ทำให้ที่ดินที่จัดไว้เป็นสาธารณูปโภคไม่ได้รับการจดแจ้งลงในโฉนดที่ดินว่าที่ดินนั้นอยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดิน จำเลยที่ 1 กับนางเจือจันทร์จึงนำที่ดินสาธารณูปโภคที่จัดไว้เป็นลานจอดรถไปขออนุญาตก่อสร้างอาคารเจ็ดชั้นเพื่อประโยชน์ส่วนตน ที่ดินสาธารณูปโภคที่นางเจือจันทร์จัดไว้เป็นลานจอดรถ สนามเด็กเล่น และสวนสาธารณะ จึงตกเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรทุกแปลงในโครงการจัดสรรหมู่บ้านศุภวรรณ 1 โดยผลของประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 พ.ศ. 2515 โจทก์ทั้งสิบสองมีสิทธิเหนือที่ดินสาธารณูปโภคดังกล่าว ต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2557 ได้มีการประชุมสมาชิกหมู่บ้านศุภวรรณ 1 จำเลยที่ 2 แจ้งต่อที่ประชุมว่า นางเจือจันทร์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2557 และจำเลยที่ 2 ได้หลอกลวงโจทก์ทั้งสิบสองว่า จำเลยที่ 2 ไม่รับรู้ที่นางเจือจันทร์ให้คำมั่นสัญญาว่าได้จัดที่ดินส่วนหน้าหมู่บ้านศุภวรรณ 1 ไว้เป็นลานจอดรถ จำเลยที่ 2 มีเจตนาทุจริตที่จะเอาที่ดินสาธารณูปโภคที่เป็นลานจอดรถไปสร้างอาคารเจ็ดชั้นเพื่อให้บุคคลภายนอกเช่าอยู่อาศัย ความจริงแล้วจำเลยที่ 2 ทราบมาโดยตลอดว่า นางเจือจันทร์ให้คำมั่นสัญญากับโจทก์ทั้งสิบสองว่าจะจัดให้ที่ดินสาธารณูปโภคด้านหน้าหมู่บ้านศุภวรรณ 1 เป็นลานจอดรถ เมื่อประมาณปี 2537 ถึงเดือนกรกฎาคม 2558 จำเลยทั้งสองเจตนาทุจริตด้วยการปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ทั้งสิบสองว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ไปขออนุญาตก่อสร้างอาคารเจ็ดชั้น 1 หลัง บนที่ดินสาธารณูปโภคในส่วนที่เป็นลานจอดรถ รวมทั้งได้ขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเจ็ดชั้นดังกล่าว จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2558 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เริ่มทำการก่อสร้างอาคาร โจทก์ทั้งสิบสองจึงทราบว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ไปขออนุญาตก่อสร้างอาคารและขอต่ออายุใบอนุญาต จากการปกปิดความจริงดังกล่าวทำให้โจทก์ทั้งสิบสองไม่ได้ไปร้องเรียนคัดค้านการก่อสร้างอาคารเจ็ดชั้นบนที่ดินที่เป็นลานจอดรถของหมู่บ้านศุภวรรณ 1 และต้องเสียสิทธิเหนือพื้นดินที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมาย โดยไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณูปโภคที่เป็นลานจอดรถ สนามเด็กเล่น และสวนสาธารณะที่เป็นทรัพย์ส่วนกลางได้ เห็นว่า โจทก์ทั้งสิบสองได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ดังนั้นเงินค่าซื้อที่ดินและบ้านที่จำเลยทั้งสองได้รับจากโจทก์ทั้งสิบสองตามฟ้อง จึงเกิดจากการซื้อขายที่ดินและบ้าน มิใช่เกิดจากการปกปิดข้อความจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน ทั้งการที่จำเลยทั้งสองไม่ได้ขออนุญาตจากทางราชการให้ดำเนินการจัดสรรที่ดิน ก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะฉ้อโกงโจทก์ทั้งสิบสอง เพราะจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ทั้งสิบสองแล้ว ส่วนฟ้องของโจทก์ทั้งสิบสองที่ว่า จำเลยทั้งสองปกปิดข้อความจริงเรื่องการขออนุญาตก่อสร้างและขอต่ออายุใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ทำให้โจทก์ทั้งสิบสองเสียสิทธิในการคัดค้านก่อสร้างอาคารเจ็ดชั้นและเสียสิทธิเหนือพื้นดินในที่ดินสาธารณูปโภค เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองได้ก่อสร้างอาคารเจ็ดชั้นบนที่ดินสาธารณูปโภคที่เป็นลานจอดรถนั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองไปขออนุญาตก่อสร้างอาคารโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทั้งสิบสองทราบนั้น มิใช่การปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งเพราะจำเลยทั้งสองไม่จำเป็นต้องแจ้งให้โจทก์ทั้งสิบสองทราบ ทั้งจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้ทรัพย์สินไปจากโจทก์ทั้งสิบสองเพราะที่ดินเป็นลานจอดรถยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนางเจือจันทร์ ส่วนการที่จำเลยทั้งสองก่อสร้างอาคารเจ็ดชั้นบนที่ดินสาธารณูปโภคที่เป็นลานจอดรถ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามคำมั่นของนางเจือจันทร์ที่ให้ไว้กับโจทก์ทั้งสิบสองเท่านั้น กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง