โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงซื้อกิจการโรงพยาบาลและใบอนุญาตจากโจทก์ รวมทั้งทรัพย์อุปกรณ์เป็นเงินสี่ล้านบาท เงินจำนวนแปดแสนบาทจำเลยตกลงจะจ่ายให้แก่บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด เป็นค่าเครื่องเอกซเรย์แทนโจทก์ภายใน 7 วัน หลังจากรับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเครื่องเอกซเรย์ 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด ชอบที่จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้โดยตรง และโจทก์ไม่ได้รับช่วงสิทธิมาฟ้องบริษัทภัทรธนกิจ จำกัด ไม่ยอมให้จำเลยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยโจทก์จะต้องดำเนินการโอนเครื่องเอกซเรย์ให้จำเลยทั้งสองทันทีเมื่อได้รับชำระหนี้ครบถ้วน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า...เดิมโจทก์ใช้ชื่อว่า บริษัทโรงพยาบาลหัวหมาก จำกัด ต่อมาได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทโรงพยาบาลพัฒนเวช จำกัด และจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อครั้งสุดท้ายเป็นบริษัทพัฒนประเวศ จำกัด ซึ่งตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเอกสารท้ายฟ้อง มีกรรมการบริษัท 2 คน คือร้อยตำรวจเอกสัณห์ กับนางสิริลักษณ์ และกรรมการคนหนึ่งคนใดลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัทมีอำนาจทำการแทนบริษัทได้สัญญา จ.3 ทำขึ้นในขณะที่บริษัทโจทก์ใช้ชื่อว่าบริษัทโรงพยาบาลพัฒนเวช จำกัด ส่วนจำเลยทั้งสองไม่มีพยานนำสืบหักล้างหลักฐานพยานของโจทก์ จึงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลและเป็นบริษัทเดียวกับบริษัทโรงพยาบาลพัฒนเวช จำกัด ที่เป็นคู่สัญญากับจำเลยทั้งสองตามสัญญา จ.3 ดังนี้ ร้อยตำรวจเอกสัณห์ แต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัททำการแทนโจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยทั้งสองได้รับมอบกิจการโรงพยาบาลและเข้าดำเนินการโรงพยาบาลและเข้าดำเนินกิจการโรงพยาบาลตามสัญญา จ.3 แล้ว ซึ่งขณะนั้นเครื่องเอกซเรย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ตามสัญญา จ.3 ก็มีติดตั้งอยู่ในอาคารโรงพยาบาลที่มีการตกลงซื้อขายกันตามสัญญา จ.2 อยู่แล้ว จึงพอถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับมอบเครื่องเอกซเรย์ไว้จากโจทก์แล้วตั้งแต่วันที่จำเลยทั้งสองได้รับมอบกิจการโรงพยาบาลและเข้าดำเนินกิจการโรงพยาบาลแทนโจทก์เป็นต้นไป ได้ความจากนายศรชัย พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกำกับหนี้สินของบริษัทภัทรธนกิจ จำกัด ว่าร้อยตำรวจเอกสัณห์กับจำเลยที่ 1 เคยไปพบพยานที่บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด เกี่ยวกับการชำระค่าเครื่องเอกซเรย์ โดยจะให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระแทนโจทก์ตามจำนวนยอดหนี้ที่โจทก์ค้างชำระอยู่ในขณะนั้นเป็นเงินต้นประมาณ 800,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้ชำระเงินดังกล่าวให้แก่บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด แต่อย่างใด บริษัทภัทรธนกิจจำกัด จึงได้ทวงถามและฟ้องเรียกร้องจากโจทก์ ถ้าหากมีการชำระค่าเครื่องเอกซเรย์ที่ค้าง บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด ก็ยินยอมให้กรรมสิทธิ์ของเครื่องเอกซเรย์ตกเป็นของโจทก์หรือตามคำสั่งของโจทก์ แสดงว่า หากจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญา จ.3 โดยชำระค่าเครื่องเอกซเรย์ให้แก่บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด ก็ไม่มีเหตุใดที่บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด จะปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้ อุปสรรคของการที่จำเลยทั้งสองไม่ได้รับสิทธิให้เป็นผู้เช่าซื้อแทนโจทก์หรือรับโอนกรรมสิทธิ์เครื่องเอกซเรย์จึงมิได้เกิดขึ้นจากการกระทำของโจทก์ โดยเป็นความผิดของจำเลยทั้งสองเองที่ไม่นำเงินค่าเครื่องเอกซเรย์ไปชำระตามที่ตกลงไว้กับนายศรชัย เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ค่าเครื่องเอกซเรย์ตามสัญญา จ.3เป็นเหตุให้บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด ฟ้องเรียกร้องเอาจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อเครื่องเอกซเรย์มาจากบริษัทภัทรธนกิจ จำกัดและโจทก์ต้องชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่บริษัทภัทรธนกิจ จำกัดจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลของการที่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามสัญญา จ.3
ตามสัญญา จ.3 โจทก์กับจำเลยทั้งสองมีข้อตกลงกันว่าค่าเครื่องเอกซเรย์ที่โจทก์ยังชำระให้แก่บริษัทภัทรธนกิจจำกัด ไม่ครบ จำเลยทั้งสองรับภาระจะชำระให้แก่บริษัทดังกล่าวต่อไป และโจทก์นำสืบว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญา จ.3 โจทก์ต้องรับผิดชำระหนี้ค่าเอกซเรย์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี ให้แก่บริษัทภัทรธนกิจ จำกัด ประกอบกับตามสัญญา จ.3 มีการกำหนดเบี้ยปรับของการไม่ชำระหนี้ไว้เป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปีด้วย ดังนี้ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้ และเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดค่าเสียหายคิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
พิพากษายืน.