โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14787ไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอเพิ่มวงเงินอีก 15,000 บาทมีจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1648/346 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1ในวงเงิน 155,000 บาท จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวน 373,309.59 บาทแล้วไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ 373,309.59 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 359,994.72 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2525 จำเลยที่ 2ไม่เคยทำสัญญาจำนองกับโจทก์ โจทก์ได้บังคับคดีจำเลยที่ 1 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 483/2528 ของศาลชั้นต้นได้เงินครบถ้วนแล้วฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 373,309.59 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 359,994.72 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2525 จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาใด ๆ กับโจทก์ฉะนั้น จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิที่จะนำสืบว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำสัญญากับโจทก์เพราะจำเลยที่ 2 เดินทางไปต่างประเทศได้ ไม่เป็นการนำสืบโดยกล่าวอ้างประเด็นขึ้นใหม่ ทั้งไม่จำเป็นต้องถามค้านพยานโจทก์ไว้ด้วย
พิพากษายืน