โจทก์ฟ้องว่า นายอูจีเนียว แอลบัลเตาที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด บัลเตามาเก็ตติ้ง เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2514 จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันภาษีอากรของนายอูจีเนียว แอลบัลเตาที่ 3 ไว้ต่อโจทก์ว่าตามที่นายอูจีเนียว แอลบัลเตาที่ 3 ยื่นคำร้องขอใบผ่านภาษีอากรไว้ต่อทางราชการโดยนายอูจีเนียวจะเดินทางออกไปนอกประเทศไทยนั้น หากนายอูจีเนียวมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรไม่ว่าในฐานะใด และทางราชการจะเรียกร้องเอาจากนายอูจีเนียวไม่ได้หรือไม่สะดวก จำเลยยินยอมชำระแทนให้จนครบปรากฏต่อมาว่าเมื่อนายอูจีเนียวเดินทางออกนอกประเทศแล้วยังไม่กลับเข้ามาในประเทศไทย ไม่ชำระภาษีอากรที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด บัลเตามาเก็ตติ้งซึ่งตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องชำระต่อโจทก์เป็นเงิน 231,160 บาท 25 สตางค์ ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิด จึงขอให้บังคับให้จำเลยรับผิดในเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า หนี้ค่าภาษีอากรไม่มีจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างใบผ่านภาษีอากรมีอายุไม่เกิน 180 วันนับแต่วันออก จำเลยต้องรับผิดตามอายุของใบผ่านภาษีอากรเท่านั้นซึ่งล่วงเลยกำหนดแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ทั้งนายอูจีเนียวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยภายในกำหนดอายุใบผ่านภาษีอากรและเดินทางเข้าออกอีกหลายครั้ง สัญญาค้ำประกันจึงระงับไปและจำเลยไม่จำต้องรับผิดหากจำเลยต้องรับผิดก็เฉพาะเพียงจำนวนภาษีซึ่งตรวจปรากฏในวันที่ผู้ขอชำระภาษีอากรยื่นคำร้องขอผ่านภาษีอากรเท่านั้น จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวหรือทวงถามจากโจทก์ โจทก์ชอบที่จะเอาชำระหนี้จากลูกหนี้ก่อนและลูกหนี้มีทางชำระหนี้ได้ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาค้ำประกันระงับไปแล้วเพราะนายอูจีเนียวเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยแล้วเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2514 และไม่ปรากฏว่าได้เดินทางออกไปนอกประเทศอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นการค้ำประกันในกรณีที่นายอูจีเนียวคนต่างด้าวมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร หาใช่ค้ำประกันการเดินทางออกนอกประเทศของนายอูจีเนียวไม่ จำเลยจะหลุดพ้นความรับผิดต่อเมื่อจำเลยพิสูจน์ได้ว่าขณะที่โจทก์ฟ้องนายอูจีเนียวอยู่ในประเทศไทยและทางราชการจะเรียกร้องบังคับหนี้ภาษีอากรจากนายอูจีเนียวได้โดยสะดวกเมื่อจำเลยพิสูจน์ไม่ได้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้ตามสัญญา และห้างหุ้นส่วนจำกัดบัลเตามาเก็ตติ้งไม่มีทางชำระหนี้ภาษีดังกล่าวได้ โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ พิพากษากลับให้จำเลยใช้เงิน 231,610 บาท 25 สตางค์ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายอูจีเนียวเป็นคนต่างด้าวและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดบัลเตามาเก็ตติ้ง เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2514 นายอูจีเนียวยื่นคำร้องต่อโจทก์ว่าประสงค์จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ขอให้โจทก์ออกใบผ่านภาษีอากรให้ ในวันนั้นจำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่าตามที่นายอูจีเนียวยื่นคำร้องไว้นั้น ถ้านายอูจีเนียวจะต้องเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรไม่ว่าในฐานะใด หากทางราชการจะเรียกร้องเอาจากนายอูจีเนียวไม่ได้หรือไม่สะดวกจำเลยยินยอมชำระแทนให้จนครบโจทก์จึงออกใบผ่านภาษีให้แก่นายอูจีเนียว ต่อจากนั้นนายอูจีเนียวก็เดินทางไปต่างประเทศปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดบัลเตามาเก็ตติ้งค้างภาษีตามจำนวนที่ฟ้อง และไม่มีทรัพย์สินใดที่จะชำระค่าภาษีที่ค้างได้ ทั้งยังฟังได้ว่าหลังจากที่นายอูจีเนียวเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่22 สิงหาคม 2514 แล้ว ได้เดินทางไปต่างประเทศอีก และไม่ได้กลับเข้ามาในประเทศภายใน 180 วันนับแต่วันออกใบผ่านภาษีอากร
ศาลฎีกาเห็นว่าที่ประมวลรัษฏากร มาตรา 4 อัฏฐ บัญญัติให้คนต่างด้าวซึ่งมีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นปกติธุระเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพยื่นคำร้องขอรับใบผ่านภาษีอากรโดยมีหลักประกันหรือหลักทรัพย์อยู่ในประเทศไทยพอคุ้มค่าภาษีอากรที่ค้างหรือที่จะต้องชำระนั้น ก็เพียงป้องกันไม่ให้รัฐต้องขาดรายได้จากภาษีอากรที่คนต่างด้าวค้างชำระหรือที่จะต้องชำระเพราะเหตุที่คนต่างด้าวออกจากประเทศไทยไปแล้วไม่กลับเข้ามาในประเทศไทยอีก
จำเลยทำสัญญาค้ำประกันกับนายอูจีเนียวคนต่างด้าวไว้ต่อโจทก์เนื่องจากเหตุที่นายอูจีเนียวมีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ และร้องขอรับใบผ่านภาษีอากรนั้นเป็นการค้ำประกันการเดินทางไปต่างประเทศของนายอูจีเนียวเมื่อนายอูจีเนียวไปต่างประเทศแล้วจะต้องเดินทางกลับมาประเทศไทยภายใน180 วันนับแต่วันออกใบผ่านภาษีอากร ดังนั้น ที่สัญญาค้ำประกันระบุว่า "หากทางราชการจะเรียกร้อง (ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร) เอาจากนายอูจีเนียวไม่ได้หรือไม่สะดวก ข้าพเจ้า (จำเลย) ยินยอมชำระแทนให้จนครบถ้วนทั้งสิ้น" นั้นหมายถึงว่า ถ้านายอูจีเนียวไม่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยภายใน 180 วันนับแต่วันออกใบผ่านภาษีอากร หากทางราชการจะเรียกร้องภาษีอากรเอาจากนายอูจีเนียวไม่ได้หรือไม่สะดวก จำเลยยินยอมชำระแทนให้จนครบ มิใช่หมายความว่าแม้นายอูจีเนียวเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยภายใน 180 วันนับแต่วันออกใบผ่านภาษีอากรแล้ว หากทางราชการจะเรียกร้องเอาจากนายอูจีเนียวไม่ได้หรือไม่สะดวกแล้วจำเลยยังจะต้องรับผิดชำระแทนจนครบถ้วน
นายอูจีเนียวคนต่างด้าวได้รับใบผ่านภาษีอากรประเภทเดินทางหลายครั้ง (ระบบ ผ.3 ก) มีสิทธิใช้ใบผ่านภาษีอากรเดินทางไปต่างประเทศได้หลายครั้ง แต่ต้องเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยภายใน 180 วันนับแต่วันออกใบผ่านภาษีอากรแล้ว เมื่อนายอูจีเนียวได้เดินทางไปต่างประเทศแล้วกลับเข้ามาในประเทศไทย หลังจากนั้นก็ได้เดินทางไปต่างประเทศอีกภายใน 180 วันนั้นแล้วไม่ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกเลย ดังนี้ สัญญาค้ำประกันดังกล่าวหาได้ระงับไปเพราะนายอูจีเนียวกลับเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ภาษีอากรแทนนายอูจีเนียวตามสัญญาค้ำประกัน
จำเลยขอค้ำประกันนายอูจีเนียวต่อโจทก์ว่า ถ้านายอูจีเนียวมีหน้าที่จะต้องเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรไม่ว่าในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะแทนผู้อื่น หากทางราชการจะเรียกร้องเอาจากนายอูจีเนียวไม่ได้หรือไม่สะดวกจำเลยยินยอมชำระแทนให้จนครบถ้วน ดังนั้น หนี้อากรแสตมป์และเงินเพิ่มที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบัลเตามาเก็ตติ้ง โดยนายอูจีเนียวหุ้นส่วนผู้จัดการค้างชำระอยู่ก่อนที่จำเลยจะค้ำประกันนายอูจีเนียว แม้เจ้าพนักงานประเมินจะแจ้งให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดบัลเตามาเก็ตติ้ง นำเงินอากรแสตมป์และเงินเพิ่มไปชำระหลังจากที่จำเลยค้ำประกันนายอูจีเนียว จำเลยก็จะต้องรับผิดเพราะหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่นายอูจีเนียวในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจะต้องชำระให้โจทก์ เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดที่นายอูจีเนียวเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการผิดนัดไม่ชำระภาษีอากรต้องถือว่านายอูจีเนียวผิดนัดด้วย โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้ฟ้องให้จำเลยผู้ค้ำประกันชำระหนี้ภาษีอากรแทนนายอูจีเนียวได้ โดยไม่จำต้องทวงถามจำเลยก่อน และไม่จำต้องเรียกร้องหรือทวงถามให้นายอูจีเนียวรับผิดเป็นส่วนตัวก่อน
พิพากษายืน