โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 285, 285/1, 295 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 4
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและข้อหากระทำความรุนแรงในครอบครัว แต่ให้การปฏิเสธข้อหากระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 285, 295 (เดิม) (ที่ถูก และ 295) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดานกับความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัวตามฟ้องข้อ 1.1 และความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดานกับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นและความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัวตามฟ้องข้อ 1.2 ถึง 1.5 ในแต่ละข้อเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดานในแต่ละกระทงอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและข้อหากระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 13 ปี 4 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 65 ปี 20 เดือน แต่คงจำคุกเพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาในชั้นนี้ที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดานตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 หรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสี่ปากเบิกความได้สอดคล้องต้องกันเป็นอย่างดีโดยไม่มีข้อพิรุธ โดยเฉพาะผู้เสียหายซึ่งขณะเบิกความมีอายุเพียงประมาณ 10 ปี เบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาตามที่ตนเองประสบ โดยปราศจากการปรุงแต่งอันเป็นลักษณะตามประสาเด็กที่ไร้เดียงสาโดยแท้ ทำให้เชื่อว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง แม้โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่คำเบิกความของผู้เสียหายมีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเชื่อมโยงกันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่มีข้อพิรุธให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะนึกคิดเสริมแต่งเรื่องราวขึ้นมาปรักปรำจำเลยซึ่งเป็นบิดาให้ต้องรับโทษ และผู้เสียหายได้บอกให้นายแดงผู้ใหญ่บ้านทราบในทันทีหลังเกิดเหตุจนมีการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย คำเบิกความของผู้เสียหายจึงมีเหตุผลและมีน้ำหนักให้รับฟังได้ อีกทั้งพนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความรับรองคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนที่ผู้เสียหายให้การยืนยันว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยบันทึกคำให้การดังกล่าวบันทึกไว้ว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 5 ครั้ง เมื่อประมาณปี 2559 จำนวน 1 ครั้ง ช่วงปลายปี 2559 จำนวน 2 ครั้ง และเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2560 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา 1 ครั้ง และเวลาประมาณ 11 นาฬิกา อีก 1 ครั้ง กับได้บันทึกลักษณะการกระทำชำเราผู้เสียหายของจำเลยไว้โดยละเอียด นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังได้บันทึกภาพและเสียงของผู้เสียหา