โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ต. บุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาให้จำเลยกับโจทก์หย่าขาดจากกัน และให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว กับให้โจทก์ชำระค่าเลี้ยงชีพจำเลยตั้งแต่โจทก์ทิ้งร้างจำเลยไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 จนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 กรกฎาคม 2560) จำเลยขอคิดเพียง 12 เดือน เดือนละ 30,000 บาท เป็นเงิน 360,000 บาท และค่าอุปการะเลี้ยงดูต่อไปอีกเดือนละ 20,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่หรือถึงแก่ความตายหรือมีเหตุอื่นตามกฎหมาย ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 30,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ให้โจทก์ชำระค่าทดแทนให้จำเลย 300,000 บาท และให้นางสาว ล. ชำระค่าทดแทนให้จำเลยเป็นเงิน 500,000 บาท กับให้โจทก์แบ่งรถยนต์ ให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนางสาว ล. เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยร่วมให้การว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและโจทก์หย่าขาดกัน ให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ต. เพียงผู้เดียว ให้โจทก์ชำระเงินค่าเลี้ยงชีพเป็นเงิน 180,000 บาท ค่าเสียหายเป็นค่าทดแทนเป็นเงิน 300,000 บาท แก่จำเลย ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าเด็กชาย ต. มีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ให้โจทก์แบ่งทรัพย์สินรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เท่ากับราคารถยนต์ในวันที่ศาลมีคำพิพากษา หากตกลงไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งฝ่ายละเท่ากัน และให้จำเลยร่วมชำระค่าเสียหายเป็นค่าทดแทนเป็นเงิน 300,000 บาท แก่จำเลย กับให้โจทก์และจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องแย้งแทนจำเลย กำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนคำขอของจำเลย (โจทก์ฟ้องแย้ง) นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าเด็กชาย ต. จะบรรลุนิติภาวะ และให้โจทก์ชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่จำเลย 180,000 บาท คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่โจทก์เสียเกินมา 38,071 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นตามฟ้องและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ตามฟ้องและฟ้องแย้งนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยร่วมฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในวันนัดอ่านคำสั่งคำร้องขออนุญาตฎีกา โจทก์ จำเลย และจำเลยร่วมแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่าได้ตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ที่เสนอต่อศาลชั้นต้น ขอเลื่อนการฟังคำสั่งของศาลฎีกา และขอให้ส่งสัญญาประนีประนอมยอมความไปยังศาลฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกา หากศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกา คู่ความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นจึงงดอ่านคำสั่งของศาลฎีกาและส่งสัญญาประนีประนอมยอมความพร้อมถ้อยคำสำนวนคืนศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่ออ่านคำสั่งของศาลฎีกาให้คู่ความฟังก่อน ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลฎีกาที่อนุญาตให้โจทก์และจำเลยร่วมฎีกาให้แก่คู่ความฟังแล้ว ต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2564 ให้ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความว่าประสงค์ทำยอมตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวหรือไม่ หากประสงค์ทำยอมก็ให้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาไปได้ มิฉะนั้นให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกา ในวันนัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา จำเลยและทนายจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ว่าไม่ประสงค์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 เพราะโจทก์ไม่ได้ปฏิบัตินอกเหนือสัญญาที่ตกลงกันต่างหากคือจะยุติคดีทั้งหมด ประกอบกับทนายจำเลยไม่ได้ไปร่วมตรวจสอบสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์แถลงว่า ฝ่ายโจทก์ได้ยุติคดีตามที่ตกลงไว้กับจำเลยแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนพร้อมซองคำพิพากษาคืนศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนข้ออ้างของโจทก์ว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนโจทก์ เสร็จแล้วให้ส่งถ้อยคำสำนวนคืนศาลฎีกา
พิเคราะห์แล้ว คดีมีเหตุที่จำเลยจะปฏิเสธไม่ให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาตามยอมตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ในชั้นฎีกาหรือไม่ เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโจทก์ จำเลย และจำเลยร่วม ร่วมกันตกลงทำขึ้นต่อหน้าองค์คณะผู้พิพากษาในศาลชั้นต้น โดยคู่ความแต่ละฝ่ายและองค์คณะผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นได้ลงลายมือชื่อไว้ท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว โดยคู่ความทุกฝ่ายแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่า หากศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกา คู่ความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นฎีกา ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำแถลงของคู่ความถือว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่คู่ความทำขึ้นในศาลและต่อหน้าองค์คณะผู้พิพากษาในศาลชั้นต้น เมื่อข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นมีความว่า "ข้อ 1. จำเลยตกลงจะไม่บังคับคดีกับโจทก์และจำเลยร่วมตามคำพิพากษาในคดีนี้ทั้งหมด ตลอดจนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าธรรมเนียมในส่วนของฟ้องแย้งด้วย ข้อ 2. โจทก์ จำเลย และจำเลยร่วมตกลงให้ยุติคดีนี้ ข้อ 3. โจทก์และจำเลยตกลงว่า ตามที่จำเลยและเด็กชาย ต. ได้ไปดำเนินการตรวจหาสารพันธุกรรม DNA เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2563 หากผลตรวจ DNA พบว่าเด็กชาย ต. เป็นบุตรของโจทก์ และโจทก์ยังคงรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอยู่นั้น โจทก์ตกลงจะชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ต. โดยจะชำระในขณะเด็กชาย ต. เข้าศึกษาดังต่อไปนี้ ในชั้นประถมศึกษาเดือนละ 4,000 บาท เรียนในชั้นมัธยมศึกษาเดือนละ 5,000 บาท และเรียนในชั้นอุดมศึกษาเดือนละ 6,000 บาท ข้อ 4. โจทก์ จำเลย และจำเลยร่วมตกลงยินยอมปฏิบัติตามสัญญาข้อ 1 และข้อ 2 ข้อ 5. โจทก์และจำเลยตกลงยินยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามสัญญาข้อ 3" จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ จำเลย และจำเลยร่วมซึ่งเป็นคู่สัญญาระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน มีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความ ย่อมมีผลผูกพันคู่ความให้ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยกเลิกหรือเพิกถอนเพียงฝ่ายเดียวมิได้ เว้นแต่คู่กรณีแห่งการประนีประนอมยอมความนั้นจะตกลงยินยอมด้วย ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัตินอกเหนือจากสัญญาที่ตกลงกันต่างหากคือจะยุติคดีทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างข้อตกลงนอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันในศาล ทั้งตามทางไต่สวนของศาลชั้นต้นได้ความตามคำแถลงของโจทก์ประกอบคำแถลงของจำเลยที่ยื่นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ก่อนศาลชั้นต้นส่งถ้อยคำสำนวนความไปยังศาลฎีกามีข้อที่โต้เถียงกันว่า โจทก์ได้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ต. บุตรผู้เยาว์ตามข้อข้อตกลงสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วหรือไม่ เป็นปัญหาที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งจะต้องว่ากล่าวกันมาในภายหลังเมื่อศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาตามยอมในชั้นนี้แล้ว และที่จำเลยอ้างบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่กรณี ฉบับลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ข้อ 6 ที่โจทก์และจำเลยตกลงจะถอนคำร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวภูธรเมืองพิจิตร เป็นข้อตกลงนอกศาลและนอกเหนือไปจากข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นในศาล หากมีอยู่จริงและผลแห่งข้อตกลงนั้นจะเป็นอย่างไรก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันต่างหากจากคดีนี้ ย่อมจะนำมาอ้างเพื่อปฏิเสธในคดีนี้หาได้ไม่ ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยไม่มีโอกาสนำพยานมาไต่สวนประกอบข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วหรือไม่ เห็นว่า การไต่สวนข้ออ้างของโจทก์ของศาลชั้นต้นตามคำสั่งของศาลฎีกานั้น ศาลชั้นต้นเพียงแต่ไต่สวนโดยฟังจากคำแถลงของโจทก์ เมื่อจำเลยได้ยื่นคำแถลงประกอบข้ออ้างของโจทก์ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้ส่งถ้อยคำสำนวนความคืนไปยังศาลฎีกา ย่อมเท่ากับจำเลยได้มีโอกาสแถลงคัดค้านข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนของฝ่ายโจทก์แล้ว จะว่าจำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมได้อย่างไร ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่ความตกลงกันทำขึ้นต่อหน้าองค์คณะผู้พิพากษาในศาลชั้นต้น โดยจำเลยมิได้มีข้อโต้แย้งหรือข้อคัดค้านแต่ประการใด แสดงว่าจำเลยตกลงยอมความกับฝ่ายโจทก์และจำเลยร่วมโดยสมัครใจยอมผูกพันที่จะปฏิบัติต่อกันตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว แม้ในวันดังกล่าวทนายจำเลยจะมิได้มาศาลเพื่อร่วมตรวจสอบสัญญาดังที่จำเลยอ้าง จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวรวมทั้งข้ออ้างที่จำเลยถูกฉ้อฉลขึ้นปฏิเสธสัญญาประนีประนอมยอมความว่าถูกฉ้อฉลให้ทำขึ้นย่อมจะฟังไม่ขึ้น คดีไม่มีเหตุอันสมควรที่จำเลยจะปฏิเสธให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ในชั้นฎีกาได้ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และจำเลยร่วมต่อไป
ศาลฎีกาได้พิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ จำเลย และจำเลยร่วมในคดีนี้ ฉบับลงวันที่ 13 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2563 เห็นว่าชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาในคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่โจทก์และจำเลยร่วมฝ่ายละสามในสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ