โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,340 วรรคสอง, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 213,400 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340 วรรคสอง, 340 ตรี จำคุกคนละ 18 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 12 ปี ริบของกลางให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 213,400 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2532 เวลา 13.30 นาฬิกาคนร้าย 4 คน มีอาวุธปืนคนละกระบอกร่วมกันปล้นเอาทรัพย์สินต่าง ๆ ตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้าย เอกสารหมาย ป.จ.4 รวมราคา218,400 บาท ของผู้เสียหายทั้งสองไป
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีนายสมจิตรและนางวรรณีเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่วิ่งจากข้างทางด้านขวามายืนขวางหน้ารถแล้วยกอาวุธปืนเอ็ม 16 ขึ้นจ้องขู่บังคับให้หยุดรถ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นุ่งโสร่งและใส่เสื้อแขนสั้นตรงกับที่จำเลยที่ 1 แต่งกายในตอนเช้าและขณะที่นายสมจิตรพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 1 ได้ที่วัดท่าหยีเมื่อเวลา 17.30 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ก็ยังแต่งกายชุดเดิมแม้ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 จะสวมหมวกถักด้วยไหมพรม แต่ใบหน้าตั้งแต่ระดับคิ้วลงมาจดคางไม่มีสิ่งใดปิดบังจึงยังพอที่จะจำกันได้เหตุเกิดเวลากลางวันสามารถมองเห็นกันได้ชัดเจน การปล้นกระทำกันในระยะประชิด นายสมจิตรและนางวรรณีได้เคยเห็นหน้าจำเลยที่ 1 มาก่อนจะเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมงย่อมจะจำกันได้ไม่ผิดพลาด ทั้งยังได้เห็นรอยแผลเป็นที่บริเวณใกล้ข้อมือซ้ายของคนร้ายขณะยกอาวุธปืนเอ็ม 16 ยืนจ้องขู่บังคับอยู่ตรงหน้ารถซึ่งจำเลยที่ 1 ก็มีแผลเป็นที่บริเวณใกล้ข้อมือซ้ายอยู่จริงเชื่อได้ว่านางสมจิตรและนางวรรณีจำคนร้ายได้ถูกต้อง หลังเกิดเหตุนายสมจิตรระบุตำหนิรูปพรรณคนร้ายให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปจับจำเลยที่ 1 มาได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ เมื่อจับจำเลยที่ 1 ได้แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ซัดทอดว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ได้ที่บ้านของจำเลยที่ 2 พร้อมกับยึดได้ธนบัตรฉบับละ 500 บาท จำนวน 10 ฉบับจากลิ้นชักโต๊ะในห้องนอนของจำเลยที่ 2 เป็นของกลาง จำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพและรับว่าเงินของกลาง จำเลยที่ 2 ได้มาจากการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การรับสารภาพ และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพไว้ตามภาพถ่ายหมาย ป.จ.3 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็มิได้อุทธรณ์คัดค้านเท่ากับยอมรับว่าคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 และคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2เป็นความจริง พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายรายนี้และได้กระทำผิดจริงตามที่โจทก์ฟ้อง..."
พิพากษายืน.