โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากจำเลยที่ 1 เพื่อปลูกสร้างโรงเรือนทำการค้าโดยไม่มีกำหนดเวลา แต่มีข้อกำหนดว่าหากจำเลยที่ 1 ต้องการที่เช่าคืน จะต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรให้โจทก์ทราบล่วงหน้า 1 ปี และจำเลยจะต้องรับซื้อโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งโจทก์ได้ปลูกสร้างลงไว้ในที่เช่า มิฉะนั้นจะต้องยอมให้โจทก์เช่าที่ดินต่อไป ต่อมาจำเลยขอให้โจทก์ออกจากที่เช่าโจทก์ให้จำเลยรับซื้อโรงเรือนซึ่งปลูกในที่เช่าตามสัญญา จำเลยไม่ยอมซื้อ โจทก์จึงไม่ยอมคืนที่เช่าให้จำเลย ต่อมาจำเลยที่ 2 ด้วยความรู้เห็นเป็นใจหรือยินยอมของจำเลยที่ 1 ได้ปลูกต้นไม้ โรงเรือน และทำรั้วปิดกั้นล้อมที่เช่า โจทก์ห้ามปรามจำเลยไม่เชื่อฟัง จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปหรือชำระค่าโรงเรือนซึ่งโจทก์ปลูกไว้
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับไปแล้ว จำเลยที่ 1 ยินยอมซื้อสิ่งก่อสร้างของโจทก์ตามราคาท้องตลาด แต่โจทก์ไม่ขาย โดยเรียกราคาสูงกว่าราคาท้องตลาดมากจำเลยที่ 2 ปลูกพุดซาในที่เช่าหลังจากบอกเลิกการเช่าแล้ว 1 ปี จำเลยที่ 2 ทำรั้วในที่ดินของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ได้บอกเลิกสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และยอมรับซื้อเรือนของโจทก์ในราคาท้องตลาดแล้ว โจทก์ไม่ยอมขาย จะเอาราคาสูงมากเกินควรเป็นความผิดของโจทก์เอง สัญญาเช่าระงับแล้ว ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าแก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมรับ จึงเป็นความผิดของโจทก์เองโจทก์เรียกร้องให้จำเลยซื้อโรงเรือนจากโจทก์ในราคาที่สูงเกินกว่าราคาตลาดมากมาย ส่อแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่า แกล้งเล่นแง่ตั้งราคาสูงจนจำเลยไม่อาจตกลงรับซื้อได้ อันจะทำให้จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ไม่ได้ ฉะนั้น ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่ยอมรับซื้อเรือนของโจทก์ในราคาตลาดเป็นการผิดสัญญาจึงฟังไม่ได้
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์