ผู้ร้องร้องว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔๖๐ ติดต่อกันมานาน ๑๖ ปี ได้กรรมสิทธิ์แล้ว ขอให้แสดงว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ผู้คัดค้านคัดค้านว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้คัดค้าน ผู้ร้องเข้าครอบครองโดยขอปลูกบ้านอยู่อาศัย
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ผู้ร้องเข้าปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๙๔๖๐ ตำบลไร่ส้ม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ของผู้คัดค้านนานเกิน ๑๐ ปีแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้ครอบครองด้วยความสงบ โดยเปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ นางผิวซึ่งเป็นป้าของผู้ร้องและผู้คัดค้านเบิกความว่า ผู้ร้องไปขออาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน นายเหลา โอ่งทองพยานผู้ร้องเบิกความว่าที่ผู้ร้องเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทนี้เพราะผู้ร้องกับสามีไม่มีที่อยู่อาศัยที่อื่นและจะเข้ามาอยู่ในที่พิพาทนี้โดยอาศัยสิทธิอย่างไรพยานไม่ทราบนายสิทธิ์ พวงกระสันต์ พยานผู้ร้อง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและเป็นผู้ไกล่เกลี่ยปัญหานี้มาก่อนเบิกความว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ผู้ร้องได้มาพบพยานบอกว่ามีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินกับผู้คัดค้าน ขอให้พยานไปพูดกับผู้คัดค้านให้ เนื่องจากผู้ร้องไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่ทราบจะไปอยู่ที่ไหน จากคำพยานผู้ร้องและผู้คัดค้านดังกล่าวน่าเชื่อว่า ผู้ร้องมาอยู่ในที่ดินพิพาทได้เพราะขออาศัยผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านเห็นเป็นน้องสาวจึงยอมให้ปลูกบ้านในที่พิพาท ลักษณะการขออาศัยดังกล่าวย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิปรปักษ์กับเจ้าของที่ดิน ดังนั้นแม้ผู้ร้องจะครอบครองเป็นเวลานานเท่าใด ก็ไม่สามารถได้สิทธิในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าทนายความในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.