โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนถังบรรจุก๊าซที่ยืมไปแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 3,392,450 บาท กับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้ถังบรรจุก๊าซที่ยืมไปในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของราคาถังบรรจุก๊าซดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะคืนถังบรรจุก๊าซหรือชำระราคาถังบรรจุก๊าซเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ แก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ฟ้องแย้ง และแก้ไขฟ้องแย้ง บังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 612,470 บาท แก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองคืนถังบรรจุก๊าซทั้งหมดที่ยืมไปแก่โจทก์หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 3,392,450 บาท และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้ถังบรรจุก๊าซที่ยืมไปในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของราคาถังบรรจุก๊าซทั้งหมด 3,392,450 บาท นับจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 มกราคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะคืนถังบรรจุก๊าซหรือชำระราคาถังบรรจุก๊าซเสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์เฉพาะในส่วนฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับฟ้องแย้งทั้งสองศาลและค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับฟ้องโจทก์ชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยสุจริตหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้นำสัญญายืมถังบรรจุก๊าซฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 707/2560 ของศาลชั้นต้น และมีการส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานเปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของนายเสน่ห์ แล้วลงความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน การที่โจทก์นำสัญญายืมถังบรรจุก๊าซดังกล่าวมาฟ้องคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เห็นว่า แม้ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) บัญญัติว่า "ในคดีที่อาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างได้นั้น เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะยกข้อเหล่านั้นขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปก็ได้" แต่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามบทกฎหมายดังกล่าวจะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เช่น ได้จากพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องนำสืบในประเด็นหรือได้จากเอกสารพยานที่มีกฎหมายบังคับให้คู่ความที่กล่าวอ้างต้องแสดง เป็นต้น คดีนี้จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ว่านายเสน่ห์ไม่ได้ลงชื่อในสัญญายืมถังบรรจุก๊าซดังกล่าว คดีจึงไม่มีประเด็นว่าสัญญายืมถังบรรจุก๊าซดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ทั้งนายสุมลตรี พยานของจำเลยทั้งสองก็เบิกความไว้ด้วยว่า "นายเสน่ห์เกรงว่าหากไม่ลงชื่อในสัญญา นายชัชพลไม่สามารถแจ้งให้โจทก์ส่งนำแก๊สให้ข้าฯ ได้ และจำเลยที่ 1 จะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จึงจำต้องยอมลงชื่อในสัญญายืมถังบรรจุก๊าซดังกล่าว" แม้ต่อมามีการนำเอกสารดังกล่าวไปฟ้องคดีอาญา ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดจากพยานนอกประเด็นพิพาทไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบและเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกระบวนพิจารณาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ศาลจะรับฟังมาเป็นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ ฉะนั้น ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโดยอ้างผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ