โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า เดิมหม่อมราชวงศ์ลดา ยุคล เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 6343 ตรงที่ตั้งตึกแถวเลขที่ 696 และที่ดินโฉนดที่ 6344 ตรงที่ตั้งตึกแถวเลขที่ 690 จำเลยสำนวนแรกเช่าที่ดินโฉนดที่ 6343 และตึกแถวเลขที่ 696 จำเลยสำนวนหลังเช่าที่ดินโฉนดที่ 6344 กับตึกแถวเลขที่ 690 หม่อมราชวงศ์ลดายกที่ดินและตึกที่กล่าวให้นายธีระ อูนากูล สัญญาเช่าที่ดินและตึกแถวสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินและตึกแถวจากนายธีระแล้วได้มอบให้นายไชยวุฒิมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินและตึกแถวที่เช่า จำเลยไม่ยอมรับหนังสือ และอยู่ต่อมาโดยละเมิดขอให้พิพากษาบังคับจำเลยและบริวารให้รื้อถอน ขนย้าย ออกไป กับให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและฟ้องแย้งว่า หม่อมราชวงศ์ลดาตกลงให้จำเลยสร้างตึกแถวในที่ดินตามฟ้องโจทก์จำเลยเสียค่าหน้าดินให้หม่อมราชวงศ์ลดารายละ 30,000 บาท จำเลยสำนวนหลังเสียค่าก่อสร้างตึกแถวอีก 50,000 บาทด้วย มีกำหนดเวลาเช่า 12 ปี เมื่อครบ 12 ปีแล้วจำเลยจึงจะยกตึกแถวพิพาทให้หม่อมราชวงศ์ลดา นายธีระและโจทก์ทราบข้อตกลงนี้ นายธีระไม่มีสิทธิเอาตึกแถวไปขายให้โจทก์ ถ้าที่ดินเป็นของโจทก์ โจทก์จะต้องให้จำเลยเช่าจนกว่าจะครบ 12 ปี ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาห้ามไม่ให้โจทก์เกี่ยวข้องกับตึกแถวพิพาท ให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าที่ดินและตึกแถวพิพาทให้จำเลยคราวละ 3 ปี
ศาลชั้นต้นสั่งตีราคาตึกแถวพิพาทและให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลสำหรับตึกแถว แต่จำเลยไม่ยอมเสีย ศาลชั้นต้นให้รับคำให้การจำเลยและฟ้องแย้งเฉพาะที่ขอให้โจทก์ต่อสัญญาเช่า
โจทก์ทั้งสองสำนวนให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเคลือบคลุมตึกแถวพิพาทสร้างก่อนหม่อมราชวงศ์ลดาทำสัญญาเช่ากับจำเลย จำเลยไม่ได้เสียค่าหน้าดินและค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาท สัญญาเช่าระหว่างหม่อมราชวงศ์ลดากับจำเลยสิ้นกำหนดเวลาแล้ว ตึกแถวพิพาทและอุปกรณ์ตกเป็นของหม่อมราชวงศ์ลดาแล้ว จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริต ไม่มีสิทธิขอให้บังคับโจทก์ต่อสัญญาเช่า
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า 1. มีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างหม่อมราชวงศ์ลดากับจำเลยหรือไม่ 2. สิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว หรือไม่3. นายธีระกับโจทก์สมยอมกันโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยไม่สุจริตหรือไม่ และ 4. ค่าเสียหายของโจทก์เพียงใด แล้วสั่งให้จำเลยทั้งสองสำนวนสืบพยานในประเด็น ข้อ 1 ถึงข้อ 3 และให้โจทก์สืบในประเด็นข้อ 4
ศาลชั้นต้นให้คู่ความดูเอกสารและสอบถามคู่ความแล้วสั่งงดสืบพยานตามประเด็นข้อ 1 ถึงข้อ 3 โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานตามประเด็นข้อ 4 ศาลชั้นต้นจึงนัดฟังคำพิพากษา และพิพากษาให้จำเลยกับบริวารขนย้ายออกไป ให้ส่งมอบที่ดินและตึกแถวพิพาทคืนให้โจทก์ ห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 70 บาท ที่โจทก์ขอรื้อถอน ขนย้ายเอง เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดีและไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดจะต้องรื้อถอน ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองสำนวน
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานนั้นไม่ชอบ เพราะมีข้อโต้เถียงที่โจทก์จำเลยยังไม่รับกันอีกหลายข้อจำเลยได้โต้แย้งคัดค้านไว้แล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเสียค่าทนายแทนโจทก์ ทั้งในคดีเดิมและคดีฟ้องแย้งไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ หรือให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับตามฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีทุกประเด็น
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกาว่า ตึกแถวพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยไม่ยินยอมให้นายธีระเอาไปขายให้โจทก์ และโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยโจทก์ไม่สืบพยานเรื่องอำนาจของนายไชยวุฒิและเรื่องค่าเสียหาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ต้องสืบพยาน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีมีข้อโต้เถียงที่โจทก์จำเลยยังไม่รับกันอีกหลายข้อ และมีปัญหาอื่น ๆ ด้วย ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน ไม่ชอบ จำเลยโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้ว ขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ หรือพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับคดีไปตามฟ้องแย้ง ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นบางข้อแล้วพิพากษาใหม่ทุกประเด็น ก็เป็นการสมประโยชน์ ตามคำขอของจำเลยในชั้นอุทธรณ์แล้ว จำเลยจะฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ต้องสืบพยานไม่ได้ เพราะเป็นคำขอที่ขัดกันกับคำขอของจำเลยในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้เป็นไปตามคำขอของจำเลยแล้ว ส่วนปัญหาต่าง ๆ ที่จำเลยกล่าวมาในฎีกา เป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์กล่าวไว้ว่ายังไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในข้อนี้จำเลยมิได้ฎีกาขึ้นมาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบประการใด ฉะนั้นฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ไม่ได้
จึงให้ยกฎีกาจำเลย