โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (4), 157, 160 วรรคสาม
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (4), 157, 160 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานขับรถในขณะเมาสุรา จำคุก 1 เดือน ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 3 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือน 15 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเมาสุราจนรถยนต์ที่จำเลยขับชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับแล่นอยู่ทางด้านหน้าเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยเป็นไปโดยปราศจากความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้อื่นในการใช้เส้นทางจราจร และก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยจะชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจแก่ผู้เสียหายก็เป็นแต่เพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ลงโทษเพียงกักขังจำเลยแทนโทษจำคุก ซึ่งนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยพอสมควรแล้ว ส่วนที่จำเลยมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็มิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอจะรับฟังเพื่อรอการลงโทษให้แก่จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมาว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุราและฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส เป็นความผิดหลายกรรมและเรียงกระทงลงโทษจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ เพราะการที่จำเลยขับรถในขณะเมาสุราด้วยความเร็วสูงนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำโดยประมาท อันเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกัน และก่อให้เกิดผลโดยตรงที่ทำให้รถยนต์ที่จำเลยขับไปชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
อนึ่ง สำหรับความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุรา แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจะได้มีพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2550 มาตรา 10 และมาตรา 11 ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา 160 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2535 และใช้ข้อความใหม่แทน และเพิ่มมาตรา 160 ตรี ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษของความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุราตามมาตรา 43 (2) แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย"
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่เพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุก 2 เดือน ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก 1 เดือน แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3