โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 341, 343 พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ.2534 มาตรา 4, 6, 17 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 3, 4, 5, 12 ให้จำเลยใช้เงินคืนผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2,199,253 บาท ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 154,100 บาท ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 246,995 บาท ผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 226,700 บาท นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางสาวกัลจันทรรัตน์ ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก อนุญาตเฉพาะข้อหาฉ้อโกง ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ส่วนข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและข้อหาเป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์มากกว่าสามวง โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (ที่ถูก มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1)) พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ.2534 มาตรา 4, 6 (1), 17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชน ฐานฉ้อโกงประชาชน และฐานเป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนมากกว่าสามวง เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 4 กระทง จำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 10 ปี นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้เงินคืนโจทก์ร่วม 1,934,478 บาท ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 154,100 บาท ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 246,995 บาท และผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 226,700 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี 24 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยซึ่งเป็นนายวงแชร์และจัดให้มีการเล่นแชร์รวมกันมากกว่าสามวง ได้ลงประกาศโฆษณา ชักชวนประชาชนซึ่งเป็นสมาชิกในระบบคอมพิวเตอร์แอปพลิเคชั่นไลน์ของจำเลยที่ใช้ชื่อว่า "แชร์บ้านจุ๊บจิ๊บ" ให้ร่วมเล่นแชร์และลงทุน โดยให้ผลประโยชน์ตอบแทนให้ผู้ลงทุนในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ซึ่งเป็นความเท็จ โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าจะนำเงินฝากผู้ให้กู้ยืมเงินรายนั้นหรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงิน จำเลยประกอบอาชีพค้าขายเสื้อผ้าซึ่งไม่สามารถที่จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 ถึงที่ 4 หลงเชื่อนำเงินมาลงทุนกับจำเลยหลายครั้ง และจำเลยคืนเงินให้โจทก์ร่วม ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 บางส่วน โดยจำเลยค้างชำระเงินโจทก์ร่วม 1,934,478 บาท ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 154,100 บาท ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 246,995 บาท และผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 226,700 บาท สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชน และฐานเป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์มากกว่าสามวง คู่ความมิได้อุทธรณ์ คดีจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ คู่ความมิได้ฎีกา คดีจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ของศาลชั้นต้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นอกจากจำเลยจะกระทำผิดในคดีนี้แล้ว จำเลยยังได้กระทำผิดฐานฉ้อโกง และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชน ถูกฟ้องต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 985/2561 ของศาลชั้นต้น และจำเลยยังได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชน และฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ถูกฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1325/2561 ถึง 1330/2561 ของศาลชั้นต้น ซึ่งทุกคดีมีผู้เสียหายต่างคนกัน และเวลากระทำความผิดอยู่ในระหว่างเวลากระทำความผิดคดีนี้ โดยการกระทำความผิดของจำเลยเริ่มต้นด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โฆษณาหรือประกาศชักชวนให้ปรากฎต่อประชาชนตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้เข้าร่วมลงทุนหุ้น ตามข้อเสนอของจำเลยที่เสนอจะให้เงินต้นและเงินปันผลในอัตราที่สูง ตามอัตราและจำนวนวันที่ที่ผู้ลงทุนแต่ละคนจะลงทุนและรับเงินต้นและเงินปันผลคืนในวงหุ้นที่จำเลยตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นอุบายในการหลอกลวงประชาชนซึ่งเป็นสมาชิกในระบบคอมพิวเตอร์แอปพลิเคชันเฟซบุ๊กและไลน์ที่ใช้ชื่อว่า "บ้านแชร์จุ๊บจิ๊บ" หรือ "แชร์บ้านจุ๊บจิ๊บ"ซึ่งความจริงจำเลยหาได้มีจ่ายเงินต้นและเงินปันผลคืนไม่ เช่นเดียวกับการกระทำผิดคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งหมดเข้าด้วยกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงวันที่ 17 ธันวาคม 2561 ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 341, 343 วรรคแรก พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 วรรคแรก, 12 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฉ้อโกงประชาชน ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี 24 กระทง ฐานฉ้อโกงและฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานนำข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 6 กระทง รวมจำคุก 120 ปี 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลงโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 60 ปี 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกระทงแล้วคงให้จำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องประกอบเอกสารท้ายฎีกา ดังนี้ เมื่อประกอบกับจำเลยอ้างในอุทธรณ์และฎีกาตลอดมาว่า คดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ของศาลชั้นต้นเป็นความผิดที่เกิดจากพฤติการณ์กระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายในแต่ละคดีเหมือนกัน ถือเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระซึ่งจะลงโทษจำเลยได้ไม่เกิน 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ซึ่งโจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยแล้วไม่แก้อุทธรณ์หรือแก้ฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าวเลย เช่นนี้ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า คดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ของศาลชั้นต้นมีลักษณะแห่งคดี และความผิดเป็นอย่างเดียวเกี่ยวพันกัน จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกัน โจทก์จึงอาจจะฟ้องคดีทั้งแปดสำนวนเป็นคดีเดียวกันได้ แต่โจทก์แยกฟ้องคดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 โดยศาลชั้นต้นมิได้สั่งรวมการพิจารณาคดีนี้เข้ากับคดีหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมและจำคุกจำเลยมีกำหนด 20 ปี เต็มตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ของศาลชั้นต้นแล้ว ศาลชั้นต้นย่อมไม่อาจนำโทษของจำเลยในคดีนี้ไปนับต่อกับโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ของศาลชั้นต้นได้เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษจำคุกเกินกำหนดที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) บัญญัติไว้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในปัญหานี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 2165/2561 ถึง 2171/2561 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1