โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันปลูกกัญชาไว้ในไร่จำนวน ๗,๗๓๐ ต้น หนัก ๒๐๐ กิโลกรัม และจำเลยได้ร่วมกันมีกัญชาสดจำนวน ๗,๗๓๐ ต้น หนัก ๒๐๐ กิโลกรัม ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้อนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๕,๗,๙,๑๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑,๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ ข้อ ๒ และริบ
ของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๕,๗,๙,๑๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑,๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวนที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา ๗๕ ให้จำเลยที่ ๔ แล้ว ลงโทษฐานปลูกกัญชา จำคุก ๖ เดือน ลงโทษฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก ๓ เดือน รวม ๒ กระทง เป็นจำคุก ๙ เดือน จำเลยนอกนั้นลงโทษฐานปลูกกัญชาจำคุกคนละ ๑ ปี ลงโทษฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองให้จำคุกคนละ ๖ เดือน รวมสองกระทงเป็นโทษจำคุกคนละ ๑ ปี ๖ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ คนละกึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ๔ ไว้ ๔ เดือน ๑๕ วัน จำเลยนอกนั้นจำคุกคนละ ๙ เดือน ของกลางริบ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ แล้วจำเลยที่ ๔ ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยทั้งสี่เป็นผู้ปลูกกันชาและมีต้นกันชาที่ปลูกนั้นไว้ในความครอบครอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ซึ่งต้องใช้กฎหมายบทที่หนักที่สุดลงโทษ พิพากษาแก้เป็นจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ มีความผิดตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๕,๗,๙ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๙ ฐานปลูกกัญชาอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ คนละ ๑ ปี จำเลยทุกคนให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ คนละกึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ คนละ ๖ เดือน ของกลางริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ต้นกันชาของกลางเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำความผิดฐานปลูกกันชา ย่อมเป็นธรรมดาว่า เมื่อกัญชาที่จำเลยปลูกงอกเจริญขึ้นมาเป็นต้นกัญชาแล้ว ต้นกัญชาเหล่านั้นก็เป็นของจำเลย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ มีต้นกัญชาเหล่านั้นไว้ในความครอบครอง แต่โดยเหตุที่ไม่ปรากฏว่า นอกจากครอบครองไว้เพราะเป็นผลเนื่องจากการปลูกดังกล่าวมาแล้ว จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ได้กระทำการใดๆเป็นกิจลักษณะที่แสดงการมีกัญชาไว้ในครอบครองขึ้นอีกเลย คงครอบครองอยู่ในฐานะที่เป็นผลที่เกิดจากการปลูกเท่านั้นเอง เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลย ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เกี่ยวกับกัญชาของกลางในคดีนี้มีเพียงกรรมเดียวเท่านั้น หาใช่หลายกรรมดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน.