โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 6,488,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง รวมตลอดทั้งยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงิน 6,488,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8 ต่อปี ของต้นเงิน 5,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 มิถุนายน 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 จำเลยมอบอำนาจให้นายพรชัย ทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ ก่อนฟ้องโจทก์มีจดหมายบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้จำนองภายในเวลาอันควรแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 5,000,000 บาท และได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว โจทก์มีหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน สนับสนุน โดยในสัญญาข้อ 1 มีข้อความชัดว่า ผู้จำนอง (จำเลย) ตกลงจำนองที่ดินแปลงที่กล่าวข้างบนทั้งแปลงแก่ผู้รับจำนอง (โจทก์) เพื่อเป็นประกันหนี้การกู้ยืมเงินซึ่งผู้จำนองได้กู้ยืมไปจากผู้รับจำนองและถือสัญญาจำนองนี้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินด้วย เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท โดยให้ดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปี และตกลงนำส่งดอกเบี้ยปีละครั้งเสมอไป และยังระบุในข้อ 3 ว่า ผู้จำนองได้รับเงินเป็นการเสร็จแล้ว แม้การกู้ยืมเงินเข้าลักษณะเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองที่ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 วรรคสอง จึงไม่เป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ก็ตาม แต่หนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ถึงความไม่บริบูรณ์ของการกู้ยืมเงินตามที่ปรากฏอยู่ในเอกสารขึ้นต่อสู้โจทก์ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงความไม่บริบูรณ์ของการกู้ยืมเงินเพื่อสนับสนุนคำให้การของตน ไม่ใช่ภาระการพิสูจน์ของฝ่ายโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 การที่โจทก์ไม่นำสืบหลักฐานการจ่ายเงินกู้ยืมให้แก่จำเลย จึงหาเป็นเหตุผลเพียงพอถึงกับจะทำให้ฟังว่าการกู้ยืมเงินไม่บริบูรณ์ไม่ ที่จำเลยนำสืบโดยจำเลยเบิกความว่า จำเลยประกอบอาชีพเปิดร้านขายยางรถยนต์ โจทก์เป็นเจ้าของกิจการขายส่งยางรถยนต์ให้แก่ร้านค้าทั่วไป จำเลยจำนองที่ดินทั้งสองแปลงเพื่อประกันหนี้สินค้ายางรถยนต์ในอนาคต เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีเอกสารหรือหลักฐานใดมาอ้างอิงสนับสนุนเลย กับยังเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่จำเลยจะยอมนำทรัพย์สินของตนไปผูกพันในหนี้ที่ไม่มีอยู่จริงทั้งในขณะทำสัญญาจำนองและในอนาคตเช่นนั้น ที่จำเลยเบิกความอีกว่า ภายหลังจดทะเบียนจำนองจำเลยไม่เคยทำนิติกรรมสั่งซื้อยางรถยนต์จากโจทก์ ก็ดูย้อนแย้งขัดกันกับเหตุผลหลักที่ทำให้จำเลยต้องยอมนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองเพื่อประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างความบริบูรณ์ของการกู้ยืมเงินตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาจำนองที่ดินได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่า ฟังได้ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 5,000,000 บาท และได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่โจทก์มีคำขอในส่วนของการบังคับจำนองว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นทรัพย์จำนอง รวมตลอดทั้งยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน โดยสัญญาจำนองที่ดินไม่มีข้อตกลงว่า หากมีการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ลูกหนี้ผู้จำนองยังจะต้องรับผิดชำระเงินที่ยังขาดจำนวนอยู่จนครบถ้วน กรณีจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินที่ยังขาดจำนวนอยู่ โจทก์จึงไม่อาจมีคำขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนได้ ที่ศาลล่างทั้งสองบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ส่วนนี้มานั้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ มาตรา 252
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนที่บังคับว่า หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ