โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงทำสัญญาจะขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1606เลขที่ดิน 138 ตำบลท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรีเนื้อที่ 41 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา 1,800,000 บาท กำหนดจะจดทะเบียนโอนที่สำนักงานที่ดินในวันที่ 14 กรกฎาคม 2528โจทก์วางเงินมัดจำให้แก่จำเลยรวมเป็นเงิน 500,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระกันในวันจดทะเบียนโอน ครั้นถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2528จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา แต่กลับมอบให้ทนายความมีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญา อ้างว่าโจทก์ผิดนัดไม่ชำระเงินตามสัญญา ขอริบเงินมัดจำขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญา หากโอนให้ไม่ได้ให้คืนเงินมัดจำแก่โจทก์จำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เมื่อถึงกำหนดวันที่โจทก์จะต้องชำระราคาที่ดินจำเลยพร้อมที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาและได้แจ้งให้โจทก์ชำระราคาที่ดินแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉยปล่อยเวลาให้ล่วงพ้นไปนานถึง 2 ปีเศษ ถือได้ว่าสัญญาจะซื้อขายเลิกกันและถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบเงินมัดจำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่14 มกราคม 2528 จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1606เลขที่ดิน 138 ตำบลท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรีเนื้อที่ 41 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา 1,800,000 บาท ในวันทำสัญญาโจทก์ได้วางเงินมัดจำให้จำเลยไว้ 300,000 บาท และในวันที่ 30มกราคม 2528 ไว้วางมัดจำเพิ่มอีก 200,000 บาท รวมเป็นเงิน500,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 1,300,000 บาท จะชำระในวันจดทะเบียนโอนเมื่อถึงกำหนดโจทก์ไม่ได้ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้จำเลยและจำเลยไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม2530 จำเลยได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำจากโจทก์ และวันที่ 17 กรกฎาคม 2530 โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยให้ทำการโอนที่ดินให้โจทก์หากไม่สามารถโอนที่ดินให้ได้ให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมรับหนังสือของทนายความโจทก์
คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเห็นว่า ถึงแม้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่าโจทก์จะต้องชำระเงินค่าที่ดินที่เหลืออีก 1,300,000 บาท ให้จำเลยในวันจดทะเบียนโอน และกำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกันในวันที่14 กรกฎาคม 2528 แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงกำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญา โจทก์ไม่ได้ชำระราคาที่ดินที่เหลือให้จำเลย และจำเลยไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยได้ตกลงเลื่อนกำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาไปแล้วหลายครั้งหลายหน โดยต่างไม่ถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญา แสดงให้เห็นว่าโจทก์และจำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาจะซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นสาระสำคัญอีกต่อไป ดังนั้นจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินที่เหลือให้จำเลยตามกำหนดในสัญญา และถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แล้วให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำในทันทีหาได้ไม่ จำเลยชอบที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 โดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน1,300,000 บาท เสียก่อน เมื่อโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงจะเลิกสัญญาแก่โจทก์ได้เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 387 แห่งบทกฎหมายดังกล่าวจะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ จำเลยยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ การบอกเลิกสัญญาของทนายความผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นการไม่ชอบ ไม่มีผลในทางกฎหมายจำเลยยังคงผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 อยู่ เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.6 แต่จำเลยไม่ยอมรับหนังสือของทนายความโจทก์ ตามซองจดหมายและใบตอบรับเอกสารหมาย จ.4 และจ.5 ถือได้ว่าจำเลยละเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามสัญญาให้โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้โจทก์ชำระราคาที่ดินที่เหลือจำนวน 1,300,000บาท ให้จำเลย และให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1606 เลขที่ดิน 138 ตำบลท่าม่วง อำเภอท่าม่วงจังหวัดกาญจนบุรี ให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถโอนที่ดินให้โจทก์ได้ให้จำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์จำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ