โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคู่สมรสของจำเลย จำเลยมีสิทธิไดรับเงินบำเหน็จและค่าชดเชยจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจำนวน ๗๘๒,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์มีสิทธิตามกฎหมายครึ่งหนึ่ง จำเลยมีภรรยาอื่นอีกและปฏิเสธไม่แบ่งเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสิทธิที่จะพึงได้รับ ขอให้บังคับจำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวฝากไว้กับธนาคารโดยให้ใส่ชื่อโจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของ และมีสิทธิเบิกจ่ายร่วมกันหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์จำเลยตกลงแยกกันอยู่ในลักษณะทิ้งร้างกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓๐ ปีแล้ว เงินบำเหน็จและค่าชดเชยเป็นสินส่วนตัวของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนหย่าให้จำเลยตามข้อตกลง หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนหย่าให้จำเลยตามข้อตกลงศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงยื่นฎีกาขอให้รับฟ้องแย้งไว้พิจารณาต่อไป แต่ปรากฏจากรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๓ ว่า หลังจากยื่นฎีกาแล้ว จำเลยถึงแก่กรรมการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยจึงสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๑ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของจำเลยต่อไป ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ