ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 61 วรรคแรก ได้บังคับไว้โดยเด็ดขาดว่าเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว และในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกได้ลงมติขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้ว ศาลต้องมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจะมีคำพิพากษาให้เป็นอย่างอื่นมิได้ พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายเพราะมูลเหตุแห่งฟ้องก็ดี มูลหนี้ก็ดี เอกสารแห่งหนี้ก็ดี ตลอดจนความสัมพันธ์ในทางการค้าระหว่างโจทก์จำเลยล้วนแต่ไม่แน่นอนและเลื่อนลอยทั้งสิ้น ทั้งลูกหนี้หรือจำเลยไม่เข้าข้อสันนิษฐานที่จะเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแต่ประการใด โจทก์จงใจกลั่นแกล้งจำเลยมุ่งทำลายชื่อเสียงของจำเลยในทางการค้า ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต จำเลยมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองฮ่องกงเป็นผู้อุดหนุนทางการเงิน สามารถดำเนินธุรกิจการค้าไปได้ตลอดจำเลยจึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของจำเลยดังกล่าวหาได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบหรือผิดพลาดในข้อไหนอย่างไร แต่ประการใดไม่ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายกฎีกา ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำคำแก้ฎีกาเอง จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้"