โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและรถยนต์เป็นพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และให้คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง 340 ตรี จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 18 ปี ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และคืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์และจำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000บาท และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 72 จำคุก 1 ปี และปรับ 5,000 บาท มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง มาตรา 72 ทวิ วรรคหนึ่ง(ที่ถูกวรรคสอง) จำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท รวมจำคุก 2 ปีปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกรอไว้ 3 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานชิงทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังจากพยานหลักฐานของโจทก์ได้ว่า จำเลยที่ 4 ไปทวงเงินที่นายนนท์ กสินทะ ผู้เสียหายเป็นหนี้นางสาวจูหรือกมลรัตน์ โรจนโรวรรณ อยู่ นายนนท์ไม่มีให้จำเลยที่ 4 จึงชักอาวุธปืนออกมาขู่บังคับให้นายนนท์มอบกีตาร์ไฟฟ้าให้และจำเลยที่ 4 ยังขู่เอาสร้อยข้อมือของนางมลิดา มีพานทอง ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นภริยาของนายนนท์ไปด้วยคงมีปัญหาในชั้นฎีกาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยที่ 4มีความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะหรือไม่เห็นว่า การที่จำเลยที่ 4 ใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้เสียหายมอบทรัพย์ให้ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิงเพื่อให้ผู้เสียหายยื่นทรัพย์ให้และเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ แม้ว่าจำเลยที่ 4 จะกระทำเพื่อทวงหนี้แทนนางสาวจูหรือกมลรัตน์และพูดว่าเมื่อผู้เสียหายมีเงินเมื่อไรก็ให้ไปไถ่คืนก็ถือว่าเป็นการขู่เข็ญเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 4 โดยเจตนาทุจริตแล้ว เพราะจำเลยที่ 4 ไม่มีอำนาจเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยพลการและโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเช่นนั้นได้ จำเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาและเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แล้วจำเลยที่ 4 ย่อมไม่มีความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง อีก
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 340 ตรี จำเลยที่ 4 อายุไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.