โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และริบกัญชาของกลางกับคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 76, 102 ฐานมีกัญชาไว้เพื่อจำหน่ายให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท และสำหรับความผิดฐานจำหน่ายกัญชา ให้จำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท รวมเป็นโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงให้จำคุกไว้ 2 ปี ปรับ 20,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้คุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวทุก 3 เดือน ส่วนค่าปรับหากไม่ชำระให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ให้ริบกัญชาของกลางและคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้กำหนดโทษให้หนักขึ้น และไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษไม่ปรับและไม่กำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและข้อหาจำหน่ายกัญชาโดยมิได้รับอนุญาต โดยเรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 10,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษไว้กระทงละ 2 ปี และให้คุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวทุก3 เดือน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รอการลงโทษไม่ปรับ และไม่คุมความประพฤติจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่ากับศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินกระทงละ 1 ปี หรือปรับไม่เกินกระทงละ 10,000บาท เมื่อจำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย.