โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 4/2558 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ของนิติบุคคลอาคารชุด ด. หากจำเลยทั้งสิบเอ็ดไม่เพิกถอนมติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสิบเอ็ดและห้ามจำเลยทั้งสิบเอ็ดนำเอามติที่ประชุมใหญ่วิสามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 4/2558 ไปทำการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับนิติบุคคลต่อสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยโจทก์และจำเลยทั้งสิบเอ็ดมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านรับฟังได้เบื้องต้นว่า บริษัทวอเตอร์ฟอร์ด พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทบ้านไทร การ์เด้น จำกัด เป็นบริษัทกลุ่มเดียวกับโจทก์ ดำเนินการก่อสร้างอาคารชุด ด. จนแล้วเสร็จ และบริษัทบ้านไทร การ์เด้น จำกัด ยื่นจดทะเบียนอาคารชุดจัดตั้งนิติบุคคลอาคารชุด จำเลยที่ 1 หลังจากนั้น บริษัทบ้านไทร การ์เด้น จำกัด โอนกรรมสิทธิ์และสิทธิต่าง ๆ ของบริษัทตามที่ได้รับตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ เป็นเหตุให้เจ้าของร่วมทำหนังสือฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 ขอให้เปิดประชุมใหญ่สามัญต่อคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดของจำเลยที่ 1 แต่คณะกรรมการไม่ดำเนินการจัดประชุมภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ เจ้าของร่วมจึงให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2558 ที่ประชุมมีมติถอดถอนคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 และถอดถอนนายเรืองฤทธิ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดของจำเลยที่ 1 ออกจากตำแหน่งพร้อมกับมีมติแต่งตั้งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 เป็นกรรมการ และแต่งตั้งจำเลยที่ 11 เป็นผู้จัดการนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2558 จำเลยที่ 1 ออกหนังสือเชิญประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2558 เพื่อลงมติแก้ไขข้อบังคับ ในวันที่ 13 กันยายน 2558 ในวันนัดประชุมมีเจ้าของร่วมเข้าประชุมไม่ครบตามข้อบังคับ จากนั้น เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2558 จำเลยที่ 1 ออกหนังสือนัดประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 3/2558 เพื่อเรียกประชุมใหม่ภายใน 15 วัน โดยกำหนดนัดประชุมวันที่ 27 กันยายน 2558 แต่ปรากฏว่าไม่มีหลักฐานการส่งหนังสือเชิญประชุมให้แก่โจทก์ เป็นเหตุให้มีการยกเลิกการประชุม จนกระทั่งวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จำเลยที่ 1 ออกหนังสือเชิญประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2558 เพื่อลงมติแก้ไขข้อบังคับในวันที่ 18 ตุลาคม 2558 แต่เมื่อถึงวันนัดประชุมมีเจ้าของร่วมมาไม่ครบองค์ประชุม จำเลยที่ 1 ได้ออกหนังสือนัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 4/2558 เพื่อเรียกประชุมใหญ่ภายใน 15 วัน โดยกำหนดนัดประชุมวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 เพื่อลงมติแก้ไขข้อบังคับนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การประชุมใหญ่วิสามัญของเจ้าของร่วมครั้งที่ 4/2558 ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับของนิติบุคคลหรือไม่ ประเด็นนี้โจทก์ฎีกาว่า การส่งหนังสือนัดประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 4/2558 มิได้มีการจัดส่งระเบียบวาระการประชุมให้เจ้าของร่วมตามความมุ่งหมายของพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 42/3 ที่บัญญัติว่า การเรียกประชุมใหญ่ต้องทำเป็นหนังสือนัดประชุมระบุสถานที่ วัน เวลา ระเบียบวาระการประชุม และเรื่องที่จะเสนอต่อที่ประชุมพร้อมด้วยรายละเอียดตามสมควรและจัดส่งให้เจ้าของร่วมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันประชุม และขัดต่อข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุด ข้อ 43 วรรคท้าย ที่ระบุว่า การเรียกประชุมใหญ่ต้องทำเป็นหนังสือนัดประชุมระบุ สถานที่ วัน เวลา ระเบียบวาระการประชุม และเรื่องที่จะเสนอต่อที่ประชุม พร้อมด้วยรายละเอียดตามสมควร และจัดส่งให้เจ้าของร่วมไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนวันประชุม การประชุมใหญ่วิสามัญของเจ้าของร่วมครั้งที่ 4/2558 ไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับของนิติบุคคล แต่เมื่อตรวจพิเคราะห์หนังสือเชิญประชุมใหญ่วิสามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 4/2558 แล้วปรากฏข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนว่า การประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 4/2558 เป็นการนัดประชุมสืบเนื่องจากการประชุมใหญ่วิสามัญเจ้าของร่วม ครั้งที่ 3/2558 ซึ่งไม่สามารถประชุมได้เพราะเหตุมีผู้เข้าร่วมไม่ครบองค์ประชุม พร้อมทั้งมีการระบุระเบียบวาระการประชุมในวาระที่ 2 เรื่องการพิจารณาแก้ไขข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งเจ้าของร่วมย่อมทราบรายละเอียดของเรื่องราวที่จะประชุมสมตามความมุ่งหมายของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดแล้ว ถือได้ว่า การส่งหนังสือนัดประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 4/2558 เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 42/3 และข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุด ข้อ 43 วรรคท้าย การประชุมใหญ่วิสามัญของเจ้าของร่วมครั้งที่ 4/2558 จึงเป็นไปโดยชอบ ฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่โจทก์อ้างเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนว่า จำเลยที่ 1 แก้ไขข้อบังคับข้อ 18.3, 18.5, 23 และข้อ 41 จากเดิมพื้นที่ห้องชุดที่เป็นร้านค้า ร้านซักรีด ร้านเสริมสวย ศูนย์สุขภาพชั้น 10 ได้รับการยกเว้นการเรียกเก็บค่าส่วนกลาง เนื่องจากเป็นส่วนบริการสาธารณูปโภคให้แก่เจ้าของร่วมระบุไว้ในข้อบังคับ ข้อ 41 ตอนท้ายว่า เนื่องจากทรัพย์สินข้างต้นเป็นส่วนบริการสาธารณูปโภค และวัตถุประสงค์เพื่ออำนายความสะดวกและให้บริการแก่เจ้าของร่วมภายในอาคารชุด ด. ดังนั้น นิติบุคคลฯ ยกเว้นการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลาง และเงินกองทุนโดยถือเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณูปโภคอาคาร จึงงดสิทธิการออกเสียง ซึ่งการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าวต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 46 คือโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเท่านั้นที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้ เพราะเป็นการแก้ไขให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนกลางโดยเฉพาะ การที่จำเลยที่ 1 นำข้อบังคับนั้นไปใช้เจ้าของร่วมรายอื่นทำการลงมติแก้ไขจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่มิได้ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์แต่ประการใด มีลักษณะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่เป็นไปโดยมุ่งประสงค์ให้นำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา ถือได้ว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นข้อฎีกาที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ประเด็นที่โจทก์ฎีกาว่า หนังสือมอบฉันทะให้เข้าประชุมและลงมติในการประชุมนิติบุคคลอาคารชุดของจำเลยที่ 1 ในการประชุมใหญ่วิสามัญของเจ้าของร่วมครั้งที่ 4/2558 ตามคำฟ้อง ไม่มีการปิดอากรแสตมป์ เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของประมวลรัษฎากร พ.ศ.2481 มาตรา 104 เป็นผลทำให้การกระทำตามใบมอบฉันทะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายและไม่มีอำนาจดำเนินการตามที่รับมอบฉันทะเพื่อลงมติเรื่องการพิจารณาแก้ไขข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดในการประชุมใหญ่วิสามัญของเจ้าของร่วมครั้งที่ 4/2558 แต่ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาแต่ประการใด ถือไม่ได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นข้อฎีกาที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ