โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์ เมื่อสิ้นอายุสัญญาแล้ว จำเลยคงอยู่ต่อมาโดยมิได้ทำสัญญาเช่าใหม่ โจทก์เตือนจำเลย ๆ เพิกเฉยเสีย ค่าเช่าค้างชำระ 3 ปี 5 เดือน คิดเป็นเงิน 746 บาท 20 สตางค์ โจทก์เคยให้ทนายความทวงค่าเช่า จำเลยก็ไม่ชำระโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าแล้วจึงขอให้บังคับจำเลยกับบริวารรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่รายนี้ และห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับขอให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง และต่อไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2499ในอัตราเดือนละ 18 บาท 20 สตางค์ จนกว่าจะออกจากที่เช่า
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ไปเก็บค่าเช่าตามปกติ จำเลยได้ส่งไปให้ทางธนาณัติ จำเลยมิได้ผิดนัดค้างชำระค่าเช่า จำเลยเช่าเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำสืบก่อน เมื่อถึงวันนัดพิจารณาจำเลยและทนายจำเลยไม่มาศาล ศาลจึงมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด ให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยผิดนัด ไม่ชำระค่าเช่าจริง และไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า พิพากษาให้ขับไล่จำเลยกับบริวารและให้รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้อง กับให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง 746 บาท 20 สตางค์ แก่โจทก์ คำขอนอกนี้ให้ยกให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้จำเลยได้สืบพยาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และผู้พิพากษานายหนึ่งแย้งว่าควรยกคำพิพากษาศาลแพ่ง ให้สืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาว่า
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีเรื่องนี้แล้ว มีประเด็นว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่าจำเลยมิได้ขาดนัดเพราะว่าในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันนัดพิจารณา เมื่อสืบพยานบุคคลของโจทก์แล้ว โจทก์ว่าไม่ติดใจสืบพยานต่อไป ยังติดใจอ้างสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 78/2497 ของศาลแขวงธนบุรี ซึ่งศาลแพ่งยังมิได้เรียกสำนวนนั้นมา จำเลยจึงแย้งว่า การพิจารณายังไม่เสร็จสิ้น ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2499 นั้น ชอบที่จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานได้โดยอาศัยเหตุที่จำเลยแถลวว่า การที่จำเลยและทนายไม่ได้มาศาลในวันนัดพิจารณา ก็เพราะทนายติดว่าความที่ศาลอื่นและตัวจำเลยป่วยเป็นโรคลำไส้
ข้อเท็จจริงในคดีได้ความว่า ในวันนัดสืบพยาน ซึ่งคู่ความทราบวันเวลานัดสืบพยานแล้ว ฝ่ายโจทก์มาศาล แต่จำเลยและทนายจำเลยไม่มาศาล ทั้งมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยาน ศาลจึงทำคำสั่งแสดงว่าฝ่ายจำเลยขาดนัดพิจารณาตามความใน มาตรา 197 วรรค 2 และมาตรา 202 แห่งกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติให้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว ซึ่งในวันนัดพิจารณา ศาลได้สืบพยานโจทก์ไป 2 คน แล้วนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 17 กรกฎาคม นั้นเวลา 13.30 น. นับว่าการพิจารณาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ยังคงเหลือแต่หน้าที่ของศาลที่จะพิพากษาตามนัดเท่านั้น ซึ่งต่อมาศาลแพ่งก็ได้พิพากษาตามกำหนดนัด ข้อที่จำเลยร้องว่า คดียังไม่เสร็จสิ้นการพิจารณาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2499 นั้นฟังไม่ขึ้น เพราะการพิจารณาได้ปิดฉากจบลงในวันที่ 9 นั้นแล้ว คู่ความไม่มีโอกาสที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดต่อศาลอีกต่อไป เพราะระหว่างต่อไปนั้นเป็นหน้าที่ของศาลที่จะกระทำกิจโดยลำพังไม่เกี่ยวแก่คู่ความซึ่งนับว่าเป็นการภายใน
โดยเหตุผลที่กล่าวมา เห็นว่า ศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์พิพากษาไว้ชอบแล้ว
จึงพิพากษายืนตาม ให้ยกฎีกาของจำเลย และให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นศาลฎีกา 100 บาท ให้แก่โจทก์