คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน ได้ร่วมกันกระทำผิดเพื่อสำเร็จความใคร่ของจำเลยที่  1  จำเลยที่  2  ได้เป็นธุระจัดหา ใช้อุบายหลอกลวงนางสาวเพ็ชร์ ทิวาพัฒน์ ผู้เสียหายซึ่งเป็นคนรับใช้ของจำเลยไปนวดจำเลยที่  1  แล้วจำเลยทั้งสองบังอาจข่มขืนใจและพูดให้ผู้เสียหายจับอวัยวะสืบพันธ์ของจำเลยที่  1  รูดขึ้นลง ถ้าไม่ทำตาม ผู้เสียหายจะเป็นอันตรายถูกฆ่าให้ตายผู้เสียหายจึงต้องยอมกระทำตามที่จำเลยทั้งสองบังคับ แล้วจำเลยทั้งสองใช้อำนาจด้วยกำลังกายทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย โดยใช้มือจับนม ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยที่  1   ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยจำเลยทั้งสองใช้กำลังกอดปล้ำและกดให้ผู้เสียหายนอนลง โดยมีจำเลยที่  2 ใช้กำลังกายเปลื้องเสื้อผ้าถุง และกางเกงในของผู้เสียหายออก และช่วยจับขาผู้เสียหายถ่างออกทั้ง  2  ข้างเพื่อให้จำเลยที่  1  เข้ากระทำชำเราผู้เสียหายสำเร็จความใคร่รวม  5  ครั้ง  การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายให้อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ก่อนคดีนี้จำเลยที่  1  เคยต้องคำพิพากษาฐานแจ้งความเท็จ ให้จำคุก 1  เดือน ปรับ  200  บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ภายใน  1  ปี  ตามคดีแดงที่ 2388/2505  ของศาลแขวงธนบุรี จำเลยกระทำผิดคดีนี้ภายใน  1  ปี  ขอให้ลงโทษและบวกโทษที่รอไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 276, 278, 283, 309, 90, 91, 56 และ 58
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 278  แต่ให้ลงโทษตามบทหนักมาตรา  276  จำคุก จำเลยที่  1  ห้าปี และนำโทษที่รอไว้มาบวกกับโจทก์คดีนี้ รวมเป็น โทษจำคุกห้าปีหนึ่งเดือนส่วนจำเลยที่  2  ให้จำคุกสามปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่า จำเลยที่  2  เป็นหญิง ไม่สามารถจะกระทำความผิดในข้อหาข่มขืนได้ จะเป็นได้ก็เพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าผู้เสียหายจะถูกจำเลยที่  1  กระทำชำเราจริง แต่อย่างไรก็ตามแม้จะฟังคำผู้เสียหายว่าได้ถูกกระทำชำเราจริงก็เชื่อว่าผู้เสียหายสมัครใจยินยอม พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายโดยตลอดแล้ว เชื่อว่าผู้เสียหายถูกจำเลยที่  1  ข่มขืนกระทำชำเราจริง ตามพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่จำเลยทั้งสองได้กระทำแก่ผู้เสียหายเริ่มต้นแต่เรียกผู้เสียหายขึ้นไปนวดแล้วให้จับของลับรูดขึ้น ๆ ลง ๆ  แล้วจำเลยที่  2  ช่วยกดขาผู้เสียหายให้จำเลยที่  1  ทำชำเราผู้เสียหายนั้นศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายโดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา 276  ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า หญิงจะเป็นตัวการร่วมในการข่มขืนกระทำชำเราได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ความผิดในเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา เป็นความผิดที่ร่วมกันกระทำผิดได้ โดยผู้ร่วมกระทำผิดมิต้องเป็นผู้ลงมือกระทำชำเราด้วยทุกคน เพียงแต่คนใดคนหนึ่งกระทำชำเรา ผู้ที่ร่วมกระทำผิดทุกคนก็มีความผิดฐานเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83  แล้วและตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276  ก็หาได้บัญญัติให้ลงโทษแต่เฉพาะชายเท่านั้น ในบทกฎหมายมาตรานี้บัญญัติแต่เพียงว่า "ผู้ใดกระทำผิด ฯลฯ" เท่านั้น ฉะนั้น แม้จำเลยที่  2  จะเป็นหญิงเมื่อสมคบกับจำเลยที่  1  ร่วมกระทำผิดศาลก็ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 278  แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 276  ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90  ให้จำคุกจำเลยที่  1  มีกำหนดสามปี และเอาโทษที่รอไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2388/2505  ของศาลแขวงธนบุรี มาบวกกับโทษในคดีนี้รวมเป็นโทษสามปีหนึ่งเดือน ส่วนจำเลยที่  2  ให้จำคุก  2  ปี