โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท จำกัด จดทะเบียนในประเทศออสเตรเลีย โจทก์มีสาขาในประเทศไทย มีนายอีริค ยังก์ ผู้รับมอบอำนาจทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขากรุงเทพ ฯ จำเลยมีหนังสือประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลกับเงินเพิ่ม โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยให้เรียกเก็บ ๓,๑๕๗,๒๐๗ บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า นายอีริค ยังก์ ไม่ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ฟ้องคดี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนด ๑ เดือน นับแต่วันฟังคำพิพากษา
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ได้ความว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนในประเทศออสเตรเลีย แต่มีสาขาอยู่ในประเทศไทย โดยมีนายอีริค ยังก์ ผู้รับมอบอำนาจคดีนี้เป็นผู้จัดการสาขาในกรุงเทพมหานครแสดงว่านายอีริค ยังก์ ไม่ใช่ผู้จัดการบริษัทโจทก์ในประเทศออสเตรเลีย นายอีริค ยังก์ จึงไม่ใช่ผู้แทนนิติบุคคลตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๕ อันจะทำให้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์ การที่นายอีริค ยังก์ เป็นเพียงผู้จัดการสาขาของบริษัทโจทก์ในกรุงเทพมหานคร แม้ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์จะอ้างว่านายอีริค ยังก์ เป็นผู้รับมอบอำนาจอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอีริค ยังก์ ฟ้องคดีนี้หรือไม่ดังนั้น ลำพังแต่เพียงนายอีริค ยังก์ เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทโจทก์ในประเทศไทยดังโจทก์ฎีกา จึงไม่ทำให้มีอำนาจฟ้องคดีนี้ แทนโจทก์ได้ เมื่อนายอีริค ยังก์ไม่มีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทโจทก์แล้วเช่นนี้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องอันชอบด้วยกระบวนพิจารณา ไม่ชอบที่ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณา โดยไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันฟังคำพิพากษานี้.