โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2518 เวลากลางวัน จำเลยซึ่งเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 10577/2518 ของศาลอาญา ระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายประภาส เธียรเชาว์ จำเลย เรื่องลักทรัพย์ได้บังอาจเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวว่า เมื่อวันที่15 กุมภาพันธ์ 2518 เวลาประมาณ 24 นาฬิกา จำเลยซึ่งเป็นพนักงานขายน้ำมันของปั๊มเซลล์ บริษัทจันทร์เจริญ จำกัด ได้เห็นนายประภาสนำรถมอเตอร์ไซค์แบบเวสป้าเข้ามาเติมน้ำมันที่ปั๊มดังกล่าว ซึ่งข้อความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี ความจริงแล้วตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้เห็นนายประภาสนำรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้ามาเติมน้ำมันที่ปั๊มดังกล่าว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา177 วรรคสอง จำคุกจำเลย 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร โจทก์มิได้บรรยายไว้ เพียงแต่จำเลยเบิกความบอกชื่อยี่ห้อของรถจักรยานยนต์ผิดไปเท่านั้นยังไม่พอฟังว่าเป็นข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยเบิกความในคดีนั้นว่าอย่างไร ความจริงเป็นอย่างไรเท่านั้น พอเห็นได้ว่าข้อความที่แตกต่างกับความจริงอันถือว่าเป็นเท็จคือ "รถมอเตอร์ไซค์แบบเวสป้า" ข้อความดังกล่าวนี้เกี่ยวข้องเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่นายประภาสต้องหาว่าลักทรัพย์อย่างไร โจทก์มิได้บรรยายถึงคำเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าว จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน