โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย ต่อมาวันที่ 11 สิงหาคม2532 จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ ขณะโจทก์เป็นพนักงานของจำเลย จำเลยมีข้อบังคับฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2519 ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์เมื่อพ้นจากตำแหน่งตามข้อ 7(2) และข้อ 8 ต่อมาจำเลยออกข้อบังคับฉบับที่ 24 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2525 เป็นการตัดสิทธิของพนักงาน ข้อบังคับฉบับที่ 24 จึงไม่มีผลใช้บังคับ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์ทั้งสิ้น 110,240 บาท ได้ทวงถามแล้วแต่จำเลยจ่ายไม่ครบขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์จำนวน 45,244.39 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า กิจการของจำเลยไม่ได้มีวัตถุประสงค์แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ จึงไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ข้อบังคับฉบับที่ 31 ถูกยกเลิกและใช้ข้อบังคับฉบับที่ 24 ที่กำหนดขึ้นใหม่ ซึ่งไม่ตัดสิทธิโจทก์แต่ประการใด เมื่อคำนวณหักค่าชดเชยที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ไปแล้วโจทก์คงมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์เพียง 64,995.61 บาทซึ่งจำเลยจ่ายให้ครบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณาคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า ข้อบังคับฉบับที่ 31 และฉบับที่ 24 ตามฟ้อง มิได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องแต่จำเลยกำหนดขึ้นเองทั้งสองฉบับ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ ต้องอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ข้อบังคับจำเลยฉบับที่ 24 ไม่มีผลใช้บังคับแก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 45,244.39 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า วัตถุประสงค์ของจำเลยที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 6 นั้นเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในทางเศรษฐศาสตร์มาให้ความเห็น เพราะเป็นเรื่องการแปล กฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานต้องฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ และปรากฏว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่ข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นฉบับเดิมใช้บังคับ ต่อมาจำเลยได้ปรับปรุงข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ใหม่ คือฉบับที่ 24 โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ตามข้อบังคับเดิมคือฉบับที่ 31 นั้น พนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยที่พ้นจากตำแหน่งเพราะถูกเลิกจ้าง ลาออกหรือตาย ก็มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์และเงินจากกองทุนสงเคราะห์นี้มิใช่ค่าชดเชยเพราะมีหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายแตกต่างไปจากค่าชดเชย ดังนั้น ตามข้อบังคับเดิมนอกจากโจทก์จะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิจะได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ด้วย โดย มิต้องนำค่าชดเชยมาหักจากเงินที่จะได้รับจากกองทุนสงเคราะห์ตามข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ฉบับเดิม ส่วนข้อบังคับฉบับที่ 24 ที่จำเลยแก้ไขใหม่นั้นกำหนดว่า พนักงานที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับนี้ เว้นแต่ค่าชดเชย ที่มีสิทธิได้รับนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินสงเคราะห์ก็ จะจ่ายเพิ่มให้เท่าจำนวนที่ต่ำกว่านั้น ซึ่งหมายความว่า หากค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามกฎหมายมีจำนวนมากกว่าหรือเท่ากับเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับนี้ลูกจ้างก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์เลย เห็นได้ว่าข้อบังคับฉบับที่ 24 ที่จำเลยแก้ไขใหม่นั้นทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามข้อบังคับเดิมลดลงไป เมื่อจำเลยแก้ไขโดยโจทก์มิได้ยินยอมด้วยจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ สิทธิของโจทก์ในเรื่องเงินกองทุนสงเคราะห์จึงต้องใช้บังคับตามข้อบังคับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่31 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2519 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ส่วนที่ขาดแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.