โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 91, 279, 285
นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 143/2561, 144/2561, 145/2561, 146/2561, 147/2561,
148/2561, 149/2561,
151/2561, 152/2561, 153/2561 และ 154/2561 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณาเด็กหญิง ก.
ผู้เสียหาย โดยนาย ญ. ที่ 1
และนาง ร. ที่ 2
ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
กับยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายต่อร่างกาย จิตใจและชื่อเสียง 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ประกอบมาตรา 285
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี
และให้นับโทษจำเลยต่อโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 143/2561 หมายเลขแดงที่ 635/2561, หมายเลขดำที่ 144/2561 หมายเลขแดงที่ 661/2561, หมายเลขดำที่ 145/2561 หมายเลขแดงที่ 671/2561, หมายเลขดำที่ 146/2561 หมายเลขแดงที่ 699/2561, หมายเลขดำที่ 147/2561 หมายเลขแดงที่ 701/2561, หมายเลขดำที่ 148/2561 หมายเลขแดงที่ 657/2561, หมายเลขดำที่ 149/2561 หมายเลขแดงที่ 689/2561, หมายเลขดำที่ 151/2561 หมายเลขแดงที่ 598/2561, หมายเลขดำที่ 152/2561 หมายเลขแดงที่ 706/2561, หมายเลขดำที่ 153/2561 หมายเลขแดงที่ 708/2561 และหมายเลขดำที่ 154/2561 หมายเลขแดงที่ 707/2561 ของศาลชั้นต้น
และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม
2560
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้จำคุกกระทงละ 1
ปี รวม 4
กระทง เป็นจำคุก 4
ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งรับฟังยุติในเบื้องต้นว่า เด็กหญิง ก. โจทก์ร่วม เป็นบุตรของนาย ญ.
และนาง ร. ขณะเกิดเหตุอายุ 7
ปีเศษ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน บ.
โดยเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลของจำเลยซึ่งเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนดังกล่าว
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยก่อนว่า
ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เห็นว่า
แม้โจทก์บรรยายฟ้องระบุวันเวลากระทำความผิดของจำเลยว่าเกิดขึ้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคม
2560 เวลากลางวัน
เดือนมิถุนายน เดือนกรกฎาคม เวลากลางวัน และระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2560 เวลากลางวัน วันใดไม่ปรากฏชัด
ซึ่งรวมเอาวันเสาร์และวันอาทิตย์เข้าไปด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นเพราะโจทก์ไม่อาจทราบวันกระทำความผิดที่แน่ชัดของจำเลยได้
อย่างไรก็ดี ถือเป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ว่าการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นในวันที่โรงเรียนมีการเรียนการสอนตามปกติในเวลาราชการในช่วงระหว่างวันที่ซึ่งบรรยายไว้ในฟ้องข้างต้น
อันเป็นเพียงรายละเอียดเท่านั้น การบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นอีกลักษณะหนึ่งของการกล่าวถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลากระทำความผิด
ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) บัญญัติบังคับไว้
ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว
ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาในข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า
จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 หรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความได้เป็นลำดับขั้นตอนอย่างมีเหตุผล ตั้งแต่ที่ทราบเรื่องจากโจทก์ร่วม
แล้วขยายผลทราบว่าเหตุยังเกิดแก่เด็กนักเรียนคนอื่น จนนำไปสู่การรวมตัวของผู้ปกครองขอให้ย้ายจำเลยออกจากโรงเรียนและมีการแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยในที่สุด
โดยได้ความว่ามีผู้ปกครองนักเรียนรวม 21 ราย ที่กล่าวหาว่าบุตรของตนถูกจำเลยกระทำอนาจาร
และภายหลังเฉพาะที่มีการแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยมีเด็กนักเรียนหญิงซึ่งเป็นผู้เสียหายรวม
12 คน
เรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าวถือเป็นเรื่องน่าอับอายของครอบครัว
ซึ่งเมื่อโจทก์ร่วมหรือแม้แต่เด็กนักเรียนหญิงคนอื่นที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดได้ทราบแน่ชัดจากผู้ปกครองถึงสิ่งที่ตนถูกกระทำแล้วว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี
น่ารังเกียจ กรณีย่อมต้องส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
และอาจจำฝังใจไปจนเติบโตว่าเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากครูของตนเอง กลายเป็นปมส่งผลต่อบุคลิกภาพและทัศนคติที่มีต่อผู้ให้การศึกษาในอนาคต
ซึ่งเชื่อว่าไม่มีผู้ปกครองคนใดต้องการให้บุตรหลานของตนตกอยู่สภาพเช่นนั้นรวมทั้งนาย
น. และนาย ญ. ด้วย ฉะนั้น
ลำพังข้อพิพาทเรื่องหนี้สินระหว่างนาย น.
กับจำเลยซึ่งเป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ที่ว่ากล่าวกันเองได้อยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดที่นาย น. และนาย ญ.
ต้องนำเอาโจทก์ร่วมบุตรหลานของตนซึ่งเป็นเด็กไร้เดียงสามาเป็นเครื่องมือเพียงแค่ต้องการจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือแม้กระทั่งทำลายชื่อเสียงจำเลยดังที่จำเลยฎีกา เนื่องจากเห็นได้ว่าไม่คุ้มกัน
เฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของผู้ปกครองคนอื่น ๆ ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีข้อบาดหมางอย่างใดกับจำเลย
ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะนำเอาชื่อเสียงและสภาพจิตใจบุตรหลานของตนที่ต้องเสื่อมเสียมาแลกเพียงเพราะถูกเสี้ยมสอนยุยงจากนาย
น. การมาประชุมร่วมกันของเหล่าผู้ปกครองและบุตรหลานที่บ้านของนาย น. เพื่อดำเนินการแก่จำเลย
จึงถือเป็นเรื่องปกติของเหล่าผู้เสียหายจากการกระทำความผิดเหมือน ๆ
กันที่รวมกลุ่มกันขึ้นเพื่อปรึกษาหารือถึงแนวทางดำเนินคดี แม้ในที่ประชุมจะมีการบอกให้เด็กนักเรียนพูดจาให้ตรงกันดังข้อฎีกาของจำเลย
ก็หาใช่ข้อบ่งชี้ว่าโจทก์ร่วมถูกเสี้ยมสอนให้มาเบิกความปรักปรำจำเลยไม่
เนื่องจากเด็กนักเรียนซึ่งถูกจำเลยกระทำอนาจารมีด้วยกันหลายคน รายละเอียดวิธีการและช่วงเวลาการกระทำอนาจารนักเรียนแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป
ไม่อาจพูดตรงกันได้อยู่ในตัว
การพูดให้ตรงกันเป็นเพียงการย้ำเตือนโจทก์ร่วมและผู้เสียหายคนอื่นให้พูดตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและตรงกับที่บอกผู้ปกครองของแต่ละคนเท่านั้น
จำเลยจึงหาอาจยกเอาการประชุมดังกล่าวว่าเป็นการเสี้ยมสอนโจทก์ร่วมให้ใส่ความจำเลยขึ้นเป็นข้อกล่าวอ้างถึงความมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยของโจทก์ร่วมได้
ฎีกาในข้อนี้ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อที่จำเลยมีคำให้การพยานโจทก์ปากนาย
ว. ผู้อำนวยการโรงเรียน บ. ในคดีอื่นซึ่งจำเลยถูกฟ้องในข้อหาเดียวกันนี้มานำสืบยืนยันถึงความประพฤติของจำเลยว่าไม่มีข้อเสื่อมเสียก็ดี
หรือมีนางสาว ส.
ครูโรงเรียนเดียวกับจำเลยมาเบิกความเป็นพยานจำเลยถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับนักเรียนที่มีความใกล้ชิดกัน
เนื่องจากจำเลยใช้วิธีการเรียนการสอนแบบเรียนปนเล่น เล่นปนเรียน ซึ่งจะมีการหยอกล้อระหว่างครูผู้สอนกับเด็กนักเรียน
โดยบางครั้งนางสาวสุกัญญายังเห็นเด็กนักเรียนหญิงแย่งกันขึ้นไปนั่งบนตักของจำเลยในเวลาสอนหนังสือด้วยก็ดี
แต่ก็หาใช่ข้อยืนยันว่าจำเลยมิได้กระทำอนาจารโจทก์ร่วม
เนื่องจากพยานจำเลยเหล่านี้มิได้อยู่รู้เห็นพฤติกรรมของจำเลยที่มีต่อเด็กนักเรียนตลอดเวลา
โดยเฉพาะพฤติการณ์อันจำเลยแสดงออกให้ปรากฏแก่บุคคลทั่วไปดังกล่าว กลับตอกย้ำให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจำเลยลอบกระทำการอันไม่สมควรทางเพศกับเด็กนักเรียนแฝงเร้นอยู่ในวิธีการเรียนการสอนที่จำเลยมักอ้างอยู่เสมอว่าใช้หลักเรียนปนเล่น
เล่นปนเรียนได้อย่างแนบเนียนจนไม่มีผู้สังเกตได้
พยานจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักสนับสนุนพยานหลักฐานจำเลยให้น่าเชื่อถือได้ และที่จำเลยฎีกาต่อสู้อีกว่า
ในคดีหมายเลขแดงที่ 689/2561
ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยถูกฟ้องในข้อหาทำนองเดียวกับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องนั้น เห็นว่า จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำอนาจารศิษย์ที่อยู่ในความดูแลทั้งสิ้น
12 คดี
ซึ่งผู้เสียหายในแต่ละคดีเป็นผู้เสียหายต่างคนกัน
กรณีจึงเป็นเรื่องที่ศาลในคดีนั้น ๆ ต้องวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในสำนวนว่าสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่
ซึ่งขึ้นอยู่กับการนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์ในแต่ละคดีซึ่งย่อมแตกต่างกันออกไป
ไม่จำเป็นที่ศาลทุกคดีจะต้องมีคำวินิจฉัยเป็นเช่นเดียวกัน
ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5
เชื่อฟังคำเบิกความของโจทก์ร่วมแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น
จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
สำหรับข้อฎีกาของจำเลยที่ขอให้ลดค่าสินไหมทดแทนที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ร่วมให้น้อยกว่า
50,000 บาท นั้น
เมื่อปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องนี้
การที่จำเลยกลับฎีกาในปัญหาการกำหนดค่าสินไหมทดแทนขึ้นมาอีก จึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค
5
ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 225
วรรคหนึ่ง และมาตรา 252
ที่แก้ไขใหม่ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 15
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษจำคุกให้นั้น
เห็นว่า จำเลยเป็นครูบาอาจารย์ สมควรประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กนักเรียน ยิ่งเฉพาะกับศิษย์ซึ่งอยู่ในความปกครองดูแลเป็นเด็กเล็ก
ซึ่งบิดามารดาให้ความไว้วางใจมอบหมายหน้าที่ให้จำเลยคอยให้การศึกษาและช่วยเหลือกล่อมเกลา สร้างสมนิสัยให้เป็นคนดี
แต่จำเลยกลับฉวยโอกาสที่มีหน้าที่และความใกล้ชิดกับเด็กสนองอารมณ์ใคร่ของตนเองโดยอาศัยความอ่อนแอและไม่ประสาต่อโลกของเด็กนักเรียนผู้เป็นศิษย์
พฤติการณ์จึงเป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับจำเลยอุทธรณ์และฎีกาต่อสู้คดีมาโดยตลอด
หาได้สำนึกในความผิดที่ตนเองได้กระทำ จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย อย่างไรก็ดี
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5
ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกจำเลยกระทงละ
1 ปี
นั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562
มาตรา 9
ให้แก้ไขมาตรา 279
แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยบัญญัติความผิดฐานการกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีและแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี
โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ
โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้
หรือโดยทำให้เด็กนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
ไว้ในวรรคสามของมาตราดังกล่าวว่า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี
หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หนักกว่าโทษในความผิดฐานเดียวกันที่กำหนดไว้ในมาตรา 279 วรรคสอง (เดิม)
ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ไม่เป็นคุณแก่จำเลย
จึงต้องปรับบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายซึ่งใช้บังคับในขณะจำเลยกระทำความผิดซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่าตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง (เดิม) ประกอบมาตรา 285 จำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน รวม 4 กระทงเป็นจำคุก
24 เดือน
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
5
ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ