โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันเมื่อ พ.ศ. 2491 แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ได้ร่วมกันทำการค้าที่ดิน เนื่องจากโจทก์อ่านเขียนหนังสือไม่ได้จึงให้จำเลยเป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินกับนางประเสริฐ เอกพจน์หรือกลัญชัยในปี พ.ศ. 2501 ตามที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวาราคาไร่ละ 30,000 บาท เป็นเงิน 282,000 บาท นางประเสริฐผิดสัญญา จำเลยฟ้องนางประเสริฐให้โอนขายที่ดินให้ ผลที่สุดจำเลยชนะคดีทั้ง 3 ศาล ปรากฏตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 5514/2509 ในปี พ.ศ. 2508 ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว นางประเสริฐได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 ให้แก่พันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณ พันตำรวจตรีกมลโอนขายต่อให้นายกำพล วัชรพลขณะนั้นจำเลยได้ละทิ้งโจทก์แล้ว จำเลยไม่มีเงินเสียค่าธรรมเนียมและค่าจ้างทนายฟ้องนางประเสริฐกับพวก ได้ขอให้โจทก์ช่วยติดต่อนายสมบัติ วัฒนาเป็นทนายฟ้องเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 และขอให้โจทก์ออกค่าธรรมเนียมศาลให้ด้วย โดยจำเลยทำหนังสือมอบให้โจทก์ไว้มีใจความว่าถ้าจำเลยได้ที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 ซึ่งจะฟ้องนั้นมาแล้ว จำเลยขายไปได้เงินเท่าไร หักเป็นค่าที่ดินที่จะต้องชำระแก่เจ้าของที่ดินและค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวม500,000 บาทเสียก่อนเหลือเท่าไรจำเลยยินยอมแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากบิดพลิ้ว จำเลยยอมให้โจทก์อายัดที่ดินดังกล่าวได้และมีสิทธิร่วมกันด้วย โจทก์ตกลงจัดการให้จำเลยฟ้องนางประเสริฐกับพวกให้เพิกถอนการโอน จนศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี นางประเสริฐกับพวกฎีกา ระหว่างนั้นจำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลฎีกาสั่งยกคำร้อง ต่อมานางประเสริฐกับพวกยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดี เป็นอันว่าคดีถึงที่สุดชั้นศาลอุทธรณ์ ได้ผลทางคดีให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 กลับคืนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประเสริฐ และจำเลยผู้ชนะคดีก็จะต้องได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากนางประเสริฐ จำเลยจะต้องแบ่งเงินค่าขายที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หรือมีสิทธิในที่ดินร่วมกันตามหนังสือสัญญาท้ายฟ้องขณะฟ้องที่ดินราคาไร่ละ 700,000 บาท รวมทั้งโฉนดเป็นเงิน 6,580,000 บาทหักค่าที่ดินและค่าใช้จ่าย 500,000 บาท คงเหลือ 6,080,000 บาท ต้องแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จึงขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 3,040,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หรือมิฉะนั้นก็ให้จำเลยจัดการชำระราคาที่ดินให้นางประเสริฐและถอนชื่อนางประเสริฐกับพวกออกเอาชื่อโจทก์จำเลยใส่ลงในโฉนดให้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แล้วจัดการขายทอดตลาดหักเป็นค่าที่ดินและค่าใช้จ่ายเสีย 500,000 บาท เงินที่เหลือแบ่งกันคนละครึ่ง ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามดังกล่าวแล้ว ก็ให้โจทก์สวมสิทธิเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยแทนจำเลยต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นภริยาจำเลยแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องค้าที่ดินร่วมกับจำเลย จำเลยผู้เดียวได้ตกลงกับนางประเสริฐว่าถ้าจำเลยติดต่อกับทางราชการให้ยกเลิกเวนคืนที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 ได้สำเร็จนางประเสริฐจะขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยในราคาไร่ละ 30,000 บาท แต่นางประเสริฐผิดสัญญา จำเลยฟ้องนางประเสริฐ ผลที่สุดจำเลยชนะคดีคือคดีหมายเลขแดงที่ 5514/2519 โจทก์จำเลยเลิกเป็นสามีภริยากันเมื่อวันที่ 20กันยายน 2506 ได้แบ่งทรัพย์สินกันเสร็จแล้ว โจทก์สละสิทธิในการดำเนินคดีสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 ไปโดยปริยาย โจทก์ไม่ได้จัดหานายสมบัติเป็นทนายให้จำเลย และโจทก์ไม่ได้เสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย จำเลยไม่เคยทำหนังสือลงวันที่ 11 มีนาคม 2509 ให้โจทก์ คดีหมายเลขแดงที่ 6478/2511ซึ่งจำเลยฟ้องขอให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์การโอนที่ดินนั้นได้ตกลงยอมความกันระหว่างจำเลยและนางประเสริฐกับพวก โดยจำเลยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน300,000 บาท แล้วคู่ความได้ร่วมกันยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 ราคาไม่สูงตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 314,000 บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้โจทก์เป็นภริยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสระหว่างที่โจทก์จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยานั้น ได้ประกอบการค้าที่ดิน จำเลยตกลงกับเจ้าของที่ดิน 18 รายว่าจะติดต่อกับกรมขนส่งทางบกเพื่อให้ยกเลิกการเวนคืนที่ดิน ถ้าทำสำเร็จ เจ้าของที่ดินจะยอมขายที่ดินให้จำเลยในราคาไร่ละสามหมื่นบาท จึงได้ทำหนังสือสัญญากันไว้ ผลที่สุดจำเลยติดต่อให้เพิกถอนการเวนคืนที่ดินสำเร็จ จำเลยจึงซื้อที่ดินแล้วขายให้แก่นายชวนไปในราคาไร่ละหกหมื่นบาทคงมีเจ้าของที่ดิน 6 รายไม่ยอมขายให้จำเลยตามสัญญา จำเลยจึงฟ้อง โดยเฉพาะคดีหมายเลขแดงที่ 5514/2509 ซึ่งจำเลยฟ้องนางประเสริฐนั้น จำเลยเป็นฝ่ายชนะในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นางประเสริฐได้โอนขายที่ดินให้พันตำรวจตรีกมล แล้วพันตำรวจตรีกมลโอนขายให้นายกำพลไป จำเลยตั้งนายสมบัติเป็นทนายฟ้องนางประเสริฐกับพวก ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดที่ 1077 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยนี้เป็นฝ่ายชนะนางประเสริฐกับพวกยื่นฎีกา จำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลฎีกาสั่งยกคำร้องต่อมานางประเสริฐกับพวกยื่นคำร้องขอถอนฎีกาโดยอ้างเหตุผลร่วมกับจำเลยว่าได้ตกลงยอมความกันระหว่างจำเลยกับนายกำพลว่าจำเลยได้รับเงินทดแทนค่าเสียหายสามแสนบาทแล้ว ไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือบังคับคดีเอาแก่นางประเสริฐกับพวกทั้งหมดต่อไป นอกจากนี้จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 มอบให้โจทก์ไว้
มีปัญหาว่า โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยเพื่อยอมให้โจทก์มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวร่วมด้วย หรือให้จำเลยชำระเงินส่วนแบ่งผลประโยชน์จากการค้าที่ดินตามสัญญาได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นางประเสริฐได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1077ให้แก่จำเลยไว้ในระหว่างที่โจทก์จำเลยกำลังอยู่กินเป็นภริยาสามีกัน ฉะนั้นสิทธิเรียกร้องในการจะฟ้องบังคับให้นางประเสริฐโอนขายที่ดินดังกล่าว โจทก์จำเลยจึงมีสิทธิร่วมกันในฐานะที่เข้าหุ้นกันทำการค้าที่ดิน โดยเฉพาะโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาผลประโยชน์จากจำเลยเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1077ในฐานะร่วมกันค้า ภายหลังจำเลยก็ได้ฟ้องนางประเสริฐจนชนะ ปรากฏตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 5514/2509 ซึ่งจะทำให้จำเลยมีโอกาสได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมา และโจทก์ก็จะมีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยครึ่งหนึ่ง ยังปรากฏจากหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 อีกว่า เมื่อได้ที่ดินมา จำเลยยอมให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยครึ่งหนึ่ง หรือเมื่อซื้อและขายที่ดินแล้ว ให้หักค่าใช้จ่ายออกห้าแสนบาทเงินกำไรที่เหลือจะต้องแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง แสดงว่าโจทก์มีสิทธิทั้งในฐานะหุ้นส่วนและตามหนังสือสัญญา
โจทก์มีส่วนได้เสียร่วมอยู่กับจำเลยในการค้าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1077โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมให้จำเลยฟ้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อแบ่งปันกันระหว่างโจทก์จำเลย เป็นการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ซึ่งชอบที่จะทำได้หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่
ตามฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ได้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 หรือให้จำเลยจัดซื้อและขายที่ดินดังกล่าว แล้วหักค่าใช้จ่ายเสียห้าแสนบาท เอาผลกำไรที่เหลือแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ซึ่งมีความหมายถึงให้เอาผลประโยชน์จากการดำเนินคดีที่จำเลยฟ้องนางประเสริฐกับพวกเกี่ยวกับการขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน หากได้เงินประโยชน์สุทธิมาเท่าใดก็ให้แบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง สำหรับนัยแรกนั้น จำเลยไม่ติดใจบังคับคดี จำเลยจึงไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับจำเลยไม่ได้ และจะให้โจทก์เข้าสวมสิทธิของจำเลยก็ไม่ได้ด้วย เป็นอันว่าจะบังคับให้นางประเสริฐกับพวกปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 5514/2509 และ 6478/2511ไม่ได้ แต่ศาลก็ยังมีทางบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินตามคำขอของโจทก์นัยหลังได้
ปัญหาว่า โจทก์ควรจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินเท่าไรนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังว่าโจทก์จำเลยร่วมกันค้าที่ดิน หวังเอาผลกำไรแบ่งปันกัน ฉะนั้นผลประโยชน์อันเกิดจากการค้าที่ดินโฉนดเลขที่ 1077 โจทก์จำเลยจึงมีสิทธิร่วมกันคนละครึ่ง จำเลยมีหน้าที่ต้องแบ่งเงินสามแสนบาทนี้ให้แก่โจทก์
เมื่อจำเลยไม่ได้ซื้อขายที่ดิน จึงไม่มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายจำนวนห้าแสนบาทตามสัญญา สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่าค่าฤชาธรรมเนียมในการดำเนินคดีนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะฟ้องนางประเสริฐกับพวก ขอให้โจทก์ออกเงินให้ก่อน เมื่อได้ที่ดินมาขายและหักค่าใช้จ่ายแล้วแบ่งเงินกันคนละครึ่ง โจทก์จึงออกเงินค่าธรรมเนียมไป 14,000 บาท อย่างไรก็ดีการดำเนินคดีจำเลยก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างอื่นไปบ้าง แต่การนำสืบไม่ปรากฏชัดว่าเสียค่าใช้จ่ายไปมากน้อยเพียงใด จึงไม่สามารถคิดคำนวณค่าใช้จ่ายที่แท้จริงเพื่อหักออกจากเงินสามแสนบาทก่อนแล้วจึงแบ่งกัน เห็นสมควรกะประมาณสันนิษฐานเอาว่าโจทก์จำเลยต่างได้ออกค่าใช้จ่ายไปฝ่ายละครึ่งและไม่ต้องหักค่าใช้จ่ายจากเงินสามแสนบาท คงให้แบ่งกันไปคนละครึ่ง
พิพากษาแก้ ให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาทให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์