โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายโดยบันดาลโทสะ
ระหว่างพิจารณา นางอมร ภริยาของนายประวิทย์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมเป็นเงิน 4,133,144 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,024,000 บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้อง (วันที่ 6 สิงหาคม 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า ผู้ตายมีส่วนกระทำความผิดด้วยและค่าสินไหมทดแทนสูงเกินส่วน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 72 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และให้จำเลยชำระเงิน 780,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุก 18 ปี คำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 12 ปี และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินค่าสินไหมทดแทน 780,000 บาทนับตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2562 ตามที่โจทก์ร่วมขอเป็นต้นไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นนี้ว่า โจทก์ร่วมและนายประวิทย์ ผู้ตาย เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจำเลยและนางสาวอรพิน เคยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายและมีบุตรด้วยกัน 2 คน รวมทั้งเด็กชายธนโชติ แต่หย่ากันเมื่อปี 2557 ก่อนเกิดเหตุ 4 ปีเศษ ผู้ตายและนางสาวอรพินมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว วันเกิดเหตุวันที่ 26 มีนาคม 2562 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา จำเลยใช้ไม้ลักษณะสี่เหลี่ยมยาวประมาณ 1 เมตร ตีศีรษะผู้ตายภายในบ้านที่นางสาวอรพินพักอยู่กับเด็กชายธนโชติซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุ ผู้ตายวิ่งออกจากบ้านที่เกิดเหตุแล้วไปล้มหมดสติอยู่บริเวณหน้าโรงเรียน ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำตัวผู้ตายส่งโรงพยาบาล ต่อมาวันที่ 6 เมษายน 2562 ผู้ตายถึงแก่ความตาย แพทย์ชันสูตรพลิกศพผู้ตายพบบาดแผลฟกช้ำที่ศีรษะด้านขวา ขนาด 5 เซนติเมตร ที่รอบเบ้าตาขวา ขนาดกว้าง 4 เซนติเมตร ยาว 6 เซนติเมตร และบาดแผลถลอกที่คาง ขนาด 0.5 เซนติเมตร และ 1 เซนติเมตร รอบ ๆ บวมช้ำขนาด 3 เซนติเมตร ไม่พบรอยกดรัดบริเวณลำคอ ไม่พบบาดแผลอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุการตาย ผ่าตรวจศพภายใน พบหนังศีรษะส่วนบนและขมับทั้งสองข้างช้ำรุนแรง พบกะโหลกศีรษะด้านซ้ายและส่วนฐานด้านซ้ายแตกร้าวรุนแรง พบเลือดออกบนเยื่อหุ้มสมองด้านซ้าย 150 มิลลิลิตร สมองบวมมากกดทับไปทางด้านขวา พบเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองกลีบหน้าซ้าย 10 มิลลิลิตร พบเลือดฉาบที่ผิวสมองทั่ว ๆ พบเลือดออกในเนื้อสมองกลีบกระหม่อมซ้าย 5 มิลลิลิตร เนื้อสมองกลีบขมับทั้งสองข้างช้ำและฉีกขาด ตรวจบริเวณลำคอ ทรวงอก ช่องท้อง ไม่พบลักษณะการได้รับบาดเจ็บ และไม่พบลักษณะผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุการตาย เหตุที่ตายเนื่องจากบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง สันนิษฐานว่าเกิดจากถูกทำร้ายร่างกาย วันที่ 27 มีนาคม 2562 ญาติของผู้ตายมาแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอกบรรจง พนักงานสอบสวน ร้อยตำรวจเอกบรรจงไปตรวจบ้านที่เกิดเหตุพบนางสาวอรพิน บ้านที่เกิดเหตุเป็นอาคารปูน 1 ชั้น แบ่งเป็น 2 คูหา เลขที่ 90/3 และ 90/4 บริเวณหน้าบ้านเป็นประตูเหล็กดึงขึ้นลง 2 ช่อง สภาพบ้านเลขที่ 90/3 บริเวณด้านหน้าติดกับถนน ส่วนบริเวณด้านหลังเป็นลานโล่งและมีประตูหลังบ้าน ตรวจสอบภายในบ้านเมื่อเปิดประตูเหล็กเลื่อนขึ้น บริเวณกลางบ้านเป็นห้องโถง ถัดจากห้องเข้าไปเป็นห้องนอนด้านซ้ายมือของบ้าน ถัดเข้าไปเป็นห้องน้ำซึ่งอยู่ติดกับประตูหลังบ้าน ไม่พบรอยคราบโลหิตและอาวุธในที่เกิดเหตุ นางสาวอรพินแจ้งว่าจำเลยซึ่งเป็นสามีเก่าใช้ไม้ยาวประมาณ 1 เมตรเศษ ตีศีรษะผู้ตาย แล้วผู้ตายวิ่งหนีออกจากบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อนางสาวอรพินโทรศัพท์สอบถามผู้ตายว่าอยู่ที่ใดและบาดเจ็บหรือไม่ ได้รับแจ้งว่าอยู่บริเวณหน้าโรงเรียน เมื่อร้อยตำรวจเอกบรรจงเดินทางไปบริเวณโรงเรียน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร ไม่พบผู้ตายรวมถึงรอยเลือด แต่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีชายมาล้มลงบริเวณหน้าโรงเรียนและเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำตัวส่งโรงพยาบาล ร้อยตำรวจเอกบรรจงรวบรวมพยานหลักฐานแล้วได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยและวันที่ 22 เมษายน 2562 พันตำรวจตรีธานี จับจำเลยได้ที่บริษัทปูนซีเมนต์ ร้อยตำรวจเอกบรรจงสอบปากคำพันตำรวจตรีธานี และแจ้งข้อหาจำเลยว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าใช้ไม้รองเครื่องซักผ้าตีผู้ตาย 1 ครั้ง สำหรับคดีส่วนแพ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 780,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมและจำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินค่าสินไหมทดแทน 780,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2562 ตามที่โจทก์ร่วมขอเป็นต้นไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมและจำเลยไม่ฎีกา จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกบรรจงเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงว่าจะทำบันทึกคำให้การของนางสาวอรพินให้แตกต่างจากที่นางสาวอรพินให้การเพื่อปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ เชื่อว่าเป็นการบันทึกคำให้การตามที่นางสาวอรพินให้การ เมื่อพิจารณาบันทึกคำให้การของนางสาวอรพินได้ความว่า นางสาวอรพินให้การในวันที่ 27 มีนาคม 2562 ว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะนางสาวอรพิน ผู้ตาย และเด็กชายธนโชติ พักอยู่ที่บ้านเกิดเหตุ จำเลยมาเคาะประตูหลังบ้านเรียกให้เปิดประตู ผู้ตายบอกนางสาวอรพินว่าไม่ต้องเปิดประตู แต่จำเลยยังคงเคาะประตูเรียกอยู่อีก หลังจากนั้นผู้ตายบอกนางสาวอรพินว่าให้เปิดประตูด้านหลังให้จำเลย ส่วนผู้ตายจะเปิดประตูออกทางด้านหน้า เมื่อนางสาวอรพินไปเปิดประตูหลังให้จำเลยเข้ามาในบ้านแล้วพบผู้ตายยืนอยู่บริเวณประตูด้านหน้าบ้าน จำเลยใช้ไม้ทุบตีศีรษะของผู้ตายประมาณ 2 ถึง 3 ครั้ง จนกระทั่งผู้ตายล้มลง นางสาวอรพินเข้าไปโอบตัวผู้ตายให้ลุกขึ้น จำเลยเข้ามาชกต่อยอีก นางสาวอรพินผลักจำเลยออกมาแล้วจำเลยและนางสาวอรพินทะเลาะโต้เถียงกัน ผู้ตายเดินมาทางหลังบ้านเข้าห้องนํ้าและล้างหน้าและตัวที่มีเลือดออก จำเลยเข้าไปหยิบมีดในครัวมา นางสาวอรพินวิ่งเข้ามาขวางไว้แล้วผู้ตายออกจากบ้านไป จำเลยตบตีและใช้มีดจี้คอนางสาวอรพินแล้วออกจากบ้านไป นางสาวอรพินจึงโทรศัพท์หาผู้ตายและทราบว่าผู้ตายอยู่บริเวณโรงเรียน การที่นางสาวอรพินให้การหลังเกิดเหตุเพียง 1 วัน ย่อมไม่มีเวลาไตร่ตรองบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เป็นอย่างอื่น เชื่อว่าให้การไปตามจริง แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้ตัวนางสาวอรพินมาเบิกความเป็นพยาน คงมีเพียงบันทึกคำให้การของนางสาวอรพินในชั้นสอบสวน อันเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังก็ตาม แต่ปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2562 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 และวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ว่าโจทก์ประสงค์จะสืบนางสาวอรพินเป็นพยาน แต่นางสาวอรพินไปจากบ้านที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่อยู่ตามทะเบียนราษฎรไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด และโจทก์ได้พยายามติดตามหาแล้วแต่ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด อันเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานปากนางสาวอรพินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 พฤติการณ์ที่นางสาวอรพินออกจากบ้านเช่าและไม่ทราบว่าไปอยู่ ณ ที่ใดดังกล่าวนั้น ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นและมีเหตุผลสมควรที่จะรับฟังพยานบอกเล่าได้ ทั้งเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีศาลย่อมรับฟังพยานบอกเล่าดังกล่าวเพื่อลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) และมาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าใช้ไม้ตีศีรษะผู้ตายเพียงทีเดียวโดยไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตายระบุว่าพบบาดแผลฟกช้ำที่ศีรษะด้านขวา ขนาด 5 เซนติเมตร ที่รอบเบ้าตาขวา ขนาดกว้าง 4 เซนติเมตร ยาว 6 เซนติเมตร และบาดแผลถลอกที่คาง ขนาด 0.5 เซนติเมตร และ 1 เซนติเมตร รอบ ๆ บวมช้ำขนาด 3 เซนติเมตร ไม่พบรอยกดรัดบริเวณลำคอ ไม่พบบาดแผลอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุการตาย ผ่าตรวจศพภายใน พบหนังศีรษะส่วนบนและขมับทั้งสองข้างช้ำรุนแรงพบกะโหลกศีรษะด้านซ้ายและส่วนฐานด้านซ้ายแตกร้าวรุนแรง เลือดออกบนเยื่อหุ้มสมองด้านซ้าย 150 มิลลิลิตร สมองบวมมากกดทับไปทางด้านขวา เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองกลีบหน้าซ้าย 10 มิลลิลิตร เลือดฉาบที่ผิวสมองทั่ว ๆ เลือดออกในเนื้อสมองกลีบกระหม่อมซ้าย 5 มิลลิลิตร เนื้อสมองกลีบขมับทั้งสองข้างช้ำและฉีกขาด การที่ผู้ตายบาดเจ็บทั้งส่วนบนขมับและฐานกะโหลกซึ่งเป็นส่วนล่างของศีรษะเชื่อว่าเกิดจากการตีต่างคราวกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยใช้ไม้เหลี่ยมยาว 1 เมตร ตีศีรษะผู้ตายโดยแรง 2 ถึง 3 ครั้ง ตามที่นางสาวอรพินให้การ จำเลยนำสืบว่าใช้ไม้ตีผู้ตายขณะที่ผู้ตายกำลังก้มลงเพื่อจะลอดประตูเหล็กหน้าบ้านออกไปในขณะที่มีแสงสว่างทั้งภายในและภายนอกบ้าน แสดงว่าจำเลยมองเห็นผู้ตายได้ดีและมีโอกาสเลือกตีอวัยวะส่วนอื่นแต่จำเลยกลับเลือกตีศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญหลายครั้งถึงกับเป็นเหตุให้กะโหลกศีรษะด้านซ้ายและส่วนฐานด้านซ้ายแตกร้าวรุนแรง จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้ตายจะถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ส่วนการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่นั้น ที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะจดทะเบียนหย่ากับนางสาวอรพินแล้ว แต่จำเลยและนางสาวอรพินยังคงอยู่กินฉันสามีภริยากันมาโดยตลอด เห็นว่า เมื่อจำเลยเคาะประตูหลังบ้านเรียกให้เปิดประตู หากจำเลยและนางสาวอรพินไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากันหลังจากจดทะเบียนหย่ากันแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่นางสาวอรพินจะต้องให้ผู้ตายรีบออกทางประตูหน้าบ้าน พฤติการณ์แสดงว่านางสาวอรพินและผู้ตายไม่ต้องการให้จำเลยทราบว่าผู้ตายและนางสาวอรพินมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกัน อันเป็นข้อที่ทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยและนางสาวอรพินยังอยู่กินฉันสามีภริยา นอกจากนั้น ยังได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนเพิ่มเติมของนางสาวอรพินว่าจำเลยเคยมาที่บ้านเกิดเหตุ กับจำเลยโทรศัพท์มาหานางสาวอรพินและทะเลาะกันก่อนเกิดเหตุ 3 วัน และวันเกิดเหตุจำเลยไม่ได้โทรศัพท์บอกว่าจะมาบ้านที่เกิดเหตุ นอกจากนี้จำเลยยังนำสืบยืนยันว่า เมื่อปี 2557 ขณะที่อยู่จังหวัดสตูล จำเลยและนางสาวอรพินจดทะเบียนหย่ากัน เนื่องจากประสงค์จะซื้อบ้าน แต่จำเลยไม่สามารถกู้เงินได้เนื่องจากติดเครดิตบูโร แต่ยังอยู่กินฉันสามีภริยากันมาโดยตลอด อีกทั้งจำเลยมีใบเสร็จรับเงินชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 มาแสดงว่านางสาวอรพินเป็นผู้กู้เงิน ส่วนจำเลยเป็นผู้ชำระเงินกู้นั้น เห็นว่า หากจำเลยและนางสาวอรพินไม่ได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาหลังจากจดทะเบียนหย่ากันแล้ว ก็ไม่มีเหตุใดที่จำเลยต้องชำระเงินที่นางสาวอรพินกู้ให้แทนนางสาวอรพิน เมื่อพิจารณาประกอบกับการที่จำเลยยังติดต่อนางสาวอรพินอย่างสม่ำเสมอและนางสาวอรพินก็ไม่ต้องการให้จำเลยทราบถึงความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างนางสาวอรพินและผู้ตาย แม้จำเลยและนางสาวอรพินจะจดทะเบียนหย่ากัน แต่จำเลยและนางสาวอรพินยังคงอยู่กินฉันสามีภริยากันหลังจากจดทะเบียนหย่า ดังนั้น พฤติการณ์ที่เมื่อจำเลยเข้ามาภายในบ้านที่เกิดเหตุแล้วเห็นผู้ตายอยู่กับนางสาวอรพินในเวลากลางคืนในลักษณะชู้สาว จึงเป็นการที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ไม้ตีศีรษะผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และ มาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ดังนี้ เมื่อปัญหาเรื่องอัตราดอกเบี้ยขัดต่อกฎหมายหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 จำคุก 4 ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนี่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงินค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยชำระอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2562 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 หลังจากนั้นให้ชำระอัตราร้อยละ 5 ต่อปี เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8