โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าทดแทน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์กับนาย ว. เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจที่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และประกอบธุรกิจโดยเป็นเจ้าของร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 2 สาขาร่วมกับนาย ว. จำเลยเป็นพนักงานธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ตำแหน่งผู้จัดการสาขาพัทยาเหนือ จำเลยรู้จักกับนาย ว. คบหากันในทำนองชู้สาวและเคยมีเพศสัมพันธ์กัน เมื่อโจทก์ทราบเรื่องได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สอบสวนวินัยจำเลยและได้ส่งภาพถ่ายจำเลยขณะมีเพศสัมพันธ์กับนาย ว. ไปให้นางสาว ส. น้องสาวจำเลยและบุคคลอื่น ๆ โดยผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไลน์แอพลิเคชั่น จำเลยไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ข้อหาหมิ่นประมาท พนักงานสอบสวนหมายเรียกให้โจทก์ไปรับทราบข้อกล่าวหา โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2558 โจทก์กับจำเลยไปตกลงเจรจากันต่อหน้าพนักงานสอบสวน โดยโจทก์ทำบันทึกยอมรับว่าเหตุที่ร้องเรียนจำเลยเป็นการเข้าใจผิดของโจทก์ โจทก์จะทำหนังสือขอถอนการร้องเรียนและยืนยันว่าจะไม่รื้อฟื้นหรือร้องเรียนจำเลยอีก ส่วนจำเลยได้ถอนคำร้องทุกข์ไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เมื่อพิจารณาบันทึก ที่โจทก์ทำหลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้แล้วเห็นว่า โจทก์เบิกความว่า บันทึกข้อตกลงมิใช่เรื่องที่ตกลงว่าจะไม่ดำเนินคดีนี้กับจำเลย บันทึกดังกล่าวไม่มีข้อความว่าโจทก์จะถอนฟ้องหรือไม่ดำเนินคดีนี้อีกต่อไป เป็นแต่เพียงโจทก์แสดงความประสงค์ว่าจะดำเนินการเรื่องที่ร้องเรียนจำเลยต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ โดยจะทำหนังสือขอถอนการร้องเรียนดังกล่าวต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่และยืนยันว่าจะไม่รื้อฟื้นหรือดำเนินการร้องเรียนต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้บังคับบัญชาของจำเลยอีกต่อไปเท่านั้นเพื่อแลกเปลี่ยนกับโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยดำเนินคดีโจทก์ฐานหมิ่นประมาท กรณีไม่ใช่เรื่องที่โจทก์จะถอนฟ้องหรือไม่ดำเนินคดีนี้ต่อไปแต่อย่างใด ไม่ถือเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกค่าทดแทน การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หรือโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปว่า จำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยว่า จำเลยมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1523 วรรคสอง ในกรณีที่ภริยาไม่ประสงค์จะฟ้องหย่าสามี ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีได้นั้น ต้องมีข้อเท็จจริงว่า หญิงอื่นนั้นต้องแสดงตนว่ามีความสัมพันธ์กับสามีตนในทำนองชู้สาว “โดยเปิดเผย” หน้าที่นำสืบให้ได้ความเช่นว่านั้นจึงตกแก่โจทก์ การที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนาย ว. สามีโจทก์ ประมาณเดือนกรกฎาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน โดยจำเลยกับนาย ว. ได้ติดต่อกันทางโทรศัพท์เคลื่อนที่หลายครั้ง ส่งข้อความทางโทรศัพท์ (SMS) หากัน รวมทั้งมีการส่งข้อความ (Chat) ทางระบบเครือข่ายไลน์ โดยมีการนัดหมายกันไปมีเพศสัมพันธ์กันตามสถานที่ต่าง ๆ และคลิปวีดีโอภาพการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับนาย ว. รวมถึงนาย ว. ได้สั่งซื้อดอกไม้และส่งให้จำเลยเป็นประจำ และโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยในช่วงเดือนพฤษภาคม 2557 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2557 เดือนมกราคม 2558 โจทก์ทราบเรื่องจึงได้มีหนังสือร้องเรียนถึงพฤติกรรมจำเลยไปที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ เพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรมและตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยจำเลย จำเลยจึงร้องทุกข์ฐานหมิ่นประมาทแก่โจทก์ แต่ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันว่า โจทก์จะไม่รื้อฟื้นและดำเนินการร้องเรียนจำเลยต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) อีกและจำเลยก็ตกลงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนาย ว. อีก โดยจะไปถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาท ต่อมาจำเลยผิดข้อตกลงโดยยังติดต่อกับนาย ว. และมีเพศสัมพันธ์กันอีก โจทก์จึงไม่ได้ถอนคำร้องเรียนต่อกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นั้น เห็นได้ว่า โจทก์มีตัวโจทก์มาเบิกความเพียงปากเดียวว่า จำเลยกับนาย ว. มีพฤติกรรมดังกล่าว แม้จำเลยยอมรับในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 19 เมษายน 2559 ว่า จำเลยมีเพศสัมพันธ์กับนาย ว. จริง แต่จำเลยก็ไม่ได้รับว่าตนเองอยู่ในฐานะภริยาอีกคนของนาย ว. หรือนาย ว. ได้มีพฤติกรรมยกย่องตนเองฉันภริยาแต่อย่างใด โจทก์เบิกความรับว่า ภาพถ่ายจำเลยตามสถานที่ต่าง ๆ และคลิปวีดีโอนั้น โจทก์ได้มาจากนาย ว. ทั้งสิ้น โดยนาย ว. เก็บไว้ในโน้ตบุ๊ก flashdrive และexternal harddisk นาย ว. เป็นผู้อธิบายให้โจทก์ฟังว่าสถานที่ต่าง ๆ คือที่ใด แสดงให้เห็นว่า การที่โจทก์รู้เห็นถึงความสัมพันธ์ของนาย ว. กับจำเลยเกิดจากคำบอกเล่าของสามีของโจทก์เอง หาใช่การกระทำของทั้งนาย ว. และจำเลยที่มีการแสดงออกโดยเปิดเผยจนเป็นที่รับรู้และเข้าใจต่อบุคคลอื่นไม่ ทางนำสืบโจทก์ก็ไม่ปรากฎพฤติกรรมว่า นาย ว. ได้เลี้ยงดูยกย่องจำเลยเป็นภริยา หรือแยกไปอาศัยอยู่กินด้วยกัน หรือพาจำเลยไปเปิดตัวต่อผู้อื่นในที่ชุมชน หรือพาไปตามสถานที่ต่าง ๆ แบบเปิดเผย ไม่มีการแสดงออกทั้งภาพถ่าย และการระบุสถานะในสื่อสังคมออนไลน์ปรากฎต่อสาธารณชน ไม่มีพยานบุคคลอื่นที่รู้เห็นความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองไม่ว่าจะพนักงานโรงแรม พนักงานรักษาความปลอดภัย บิดามารดา เพื่อนร่วมงานของจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่สาขาพัทยา เพื่อนร่วมงานของโจทก์ เพื่อนของนาย ว. ลำพังเพียงรูปถ่ายของจำเลยกับนาย ว. ที่ไปมีเพศสัมพันธ์ตามสถานที่ต่าง ๆ และคลิปวีดีโอที่โจทก์ได้มาจากสามีตนเอง ไม่ใช่สิ่งที่สื่อถึงเจตนาที่แท้จริงของบุคคลทั้งสองว่าต้องการมีความสัมพันธ์แบบเปิดเผย ทั้งโจทก์ไม่ได้นำนาย ว. มาเบิกความเพื่อให้ฝ่ายจำเลยได้ถามค้านว่า ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น อยู่ในรูปแบบที่ต้องการให้จำเลยเป็นภริยาอีกคนหรือไม่ โจทก์กลับนำพยานหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้มาได้ด้วยความยินยอมของนาย ว. โจทก์ไม่ได้ฟ้องหย่าหรือกล่าวโทษสามีตนเองที่ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น แต่เป็นฝ่ายโจทก์ที่กล่าวโทษแก่จำเลย โดยทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาจำเลยเพื่อให้ลงโทษทางวินัย ส่งภาพการมีเพศสัมพันธ์ของจำเลยกับนาย ว. ไปให้นางสาว ส. น้องสาวจำเลยทางเครือข่ายไลน์ ทำให้เป็นที่เผยแพร่ไปในสังคม อันเป็นการกระทำด้วยตัวโจทก์เอง หาใช่จำเลยเป็นคนเผยแพร่ไม่ ประกอบกับจำเลยนำสืบว่า นาย ว. มีผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยนับรวมประมาณ 40 คน ตามรายชื่อและภาพผู้หญิงในอิริยาบทต่าง ๆ รวมถึงโป๊เปลือย ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้ถามค้านพยานเอกสารดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง ดังนั้นน่าเชื่อว่า นาย ว. มีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นเป็นอาจิณรวมทั้งจำเลยด้วย และการกระทำดังกล่าวจึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองคนที่ย่อมต้องปกปิด แอบลักลอบกระทำกันในที่ลับ แม้ว่าอาจเป็นการละเมิดสิทธิในครอบครัวของโจทก์ผู้เป็นภริยา แต่โจทก์ย่อมไม่สามารถเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ เพราะจำเลยไม่ได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวตามนัยแห่งบทบัญญัติมาตรา 1523 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ