ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการค้า ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
กรมป่าไม้และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างมีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยกรมป่าไม้มีอำนาจหน้าที่ ควบคุม กำกับดูแล ป้องกันการบุกรุก ทำลายป่าและการกระทำผิดในพื้นที่รับผิดชอบตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยพื้นที่เกิดเหตุในคดีนี้อยู่ภายในแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ การเข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้และป่าสงวนแห่งชาตินั้นจะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรืออธิบดีกรมป่าไม้โดยการอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๑๕ ถึง ๒๔ แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ทั้งยังต้องเสียค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวงและค่าบำรุงป่าแล้วแต่กรณีด้วย โดยกฎหมายและข้อกำหนดดังกล่าวมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงถือว่าจำเลยและประชาชนทั่วไปทราบถึงข้อบังคับตามกฎหมายดังกล่าวโดยทั่วกันแล้ว การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่อสร้าง แผ้วถาง ทำลายป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำเลยยังตั้งและประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ ๓ โดยนำรถขุดไฮดรอลิก (แบ็กโฮ) ขุดหรือลอกกรวด ทรายหรือดินและบรรทุกดินทราย เพื่อประโยชน์ทางการค้าของจำเลย ที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นจำเลยร่วมกันลักขุดทราย ๑๙๕,๙๘๙.๕๘ ลูกบาศก์เมตร ราคา ๕๗,๖๙๗,๓๖๖.๕๖ บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ของกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต โดยพฤติการณ์การกระทำความผิดดังกล่าวสร้างความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมากและใช้ระยะเวลานานประมาณ ๓ ปี ๔ เดือน ลักษณะของการกระทำความผิดดังกล่าวไม่สามารถกระทำผิดแต่เพียงลำพังคนเดียว แสดงว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดขุดทรายจำนวนมากซึ่งเป็นทรัพย์สินของรัฐออกไปจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุอันเป็นที่ดินของรัฐและอยู่ในอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาตามกฎหมายของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองและผู้อื่น จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง และเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยจึงต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย