โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน จำนวน 2,104,991.13 บาท แก่ผู้เสียหาย
ระหว่างพิจารณา บริษัท ซ. ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน เป็นเงินทั้งสิ้น 2,104,991.13 บาท ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยชำระคืนให้โจทก์เพียงบางส่วนแล้ว คงเหลือ 1,404,991.13 บาท จึงกำหนดให้จำเลยรับผิดในจำนวนดังกล่าวต่อโจทก์ร่วม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาเป็นเงิน 1,404,991.13 บาท แก่โจทก์ร่วม จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า การที่จำเลยตกลงชำระเงินที่ยักยอกคืนแก่โจทก์ร่วมเป็นการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันก่อนคดีถึงที่สุด ทำให้สิทธินำคดีอาญาของโจทก์มาฟ้องระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 39 (2) หรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ได้ความว่า ผู้ประนีประนอมไกล่เกลี่ยแล้วคู่ความตกลงกันได้ โดยจำเลยตกลงชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ร่วม จำนวน 2,104,991.13 บาท ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เมื่อโจทก์ร่วมได้รับชำระครบถ้วนแล้ว โจทก์ร่วมจะถอนคำร้องทุกข์ให้แก่จำเลย โดยโจทก์ไม่คัดค้าน คู่ความจึงขอให้จำหน่ายคดีชั่วคราวและแถลงขอให้ศาลช่วยกำหนดนัดเพื่อตามผลการชำระด้วย ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว เพื่อให้โอกาสจำเลยหาเงินมาชำระหนี้ตามข้อตกลง จึงให้จำหน่ายคดีจากสารบบความชั่วคราว หากจำเลยผิดนัดชำระหนี้ ให้โจทก์หรือโจทก์ร่วมแถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาต่อไป โดยให้นัดพร้อมเพื่อฟังผลการชำระหนี้หรือถอนคำร้องทุกข์หรือนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เวลา 9.00 นาฬิกา ข้อตกลงที่ปรากฏดังกล่าวไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าโจทก์ร่วมสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในทันที แต่กลับมีเงื่อนไขให้จำเลยชำระหนี้ให้ครบถ้วนเสียก่อน โจทก์ร่วมจึงจะถอนคำร้องทุกข์ให้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นจึงให้จำหน่ายคดีชั่วคราวและนัดพร้อมเพื่อฟังผลการชำระหนี้หรือนัดฟังคำพิพากษาตามคำแถลงของคู่ความเพื่อให้โอกาสแก่จำเลยนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วม นอกจากนั้นความยังปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนดนัดพร้อมเพื่อฟังผลการชำระหนี้หรือนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมบางส่วน และประสงค์จะชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมอีก โจทก์และโจทก์ร่วมไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงให้โอกาสแก่จำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ร่วม และอนุญาตให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อฟังผลการชำหนี้หรือนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 แต่ถึงวันนัดจำเลยยังไม่สามารถชำระเงินแก่โจทก์ร่วมตามที่ตกลงกันและขอเลื่อนนัดพร้อมเพื่อฟังผลการชำระหนี้หรือนัดฟังคำพิพากษาไปอีกหลายนัดจนถึงวันนัดในวันที่ 14 ธันวาคม 2563 จำเลยยังคงไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมจนครบถ้วน โจทก์ร่วมจึงแถลงขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ยิ่งทำให้เห็นเจตนาของโจทก์ร่วมชัดเจนว่า ตราบใดที่จำเลยยังไม่ได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ร่วมครบถ้วน โจทก์ร่วมก็ยังติดใจที่จะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยอยู่เช่นเดิม ดังนี้ ข้อตกลงที่โจทก์ร่วมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมดังกล่าว จึงไม่ได้มีลักษณะเป็นการยอมความอันจะทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องต้องระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ดังที่จำเลยฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน