โจทก์ฟ้องว่า นายศุภสิทธิ มหาคุณ กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นผู้เยาว์ นายศุภสิทธิ ฝากเงินไว้กับธนาคารแห่งอเมริกาในนามของบุตรเพื่อนำผลประโยชน์จากเงินที่ฝากเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาของบุตร และมอบให้จำเลยที่ 1เป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์แทน กับมีสิทธิถอนเงินผลประโยชน์ดังกล่าวไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของบุตรทั้งสาม ต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องหย่าจากนายศุภสิทธิ แล้วถอนเงินฝากของบุตรทั้งสาม เป็นจำนวน 935,908.88 บาท ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาจำเลยที่ 1 รู้เห็นและจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้เก็บรักษาเงิน 300,000 บาทไว้เพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสาม ส่วนเงินที่เหลือ 635,960.88 บาท จำเลยที่ 1 นำไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของตนเองอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่มีอำนาจ และไม่ได้ใช้จ่ายเพื่อผลประโยชน์ของบุตร ขอให้จำเลยทั้งสามคืนหรือใช้เงินตามความรับผิด พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ไม่ใช่คดีอุทลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะผู้เยาว์ไม่ได้ร้องขอพนักงานอัยการให้ฟ้องเงินฝากของบุตรผู้เยาว์ทั้งสามเป็นเงินที่นายศุภสิทธิและจำเลยที่ 1 ทำมาหาได้ร่วมกัน ซึ่งเป็นสินสมรสฝากธนาคารไว้ในนามบุตรทั้งสาม จำเลยที่ 1 มีสิทธิถอนจากธนาคารไปใช้ได้ทั้งเงินฝากและผลประโยชน์ เพราะนายศุภสิทธิมีภรรยาใหม่และไม่อุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 1 และบุตรเงินที่ถอนนำไปใช้จ่ายส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ตามฐานานุรูปและอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตร จึงไม่ต้องคืนหรือใช้เงิน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ไม่ได้ร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ 1และไม่มีนิติสัมพันธ์กับเด็กทั้งสาม เงินที่จำเลยที่ 1 ฝากไว้เป็นเงินของจำเลยที่ 1 เอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายศุภสิทธิมีอำนาจร้องขอต่อพนักงานอัยการแทนบุตรทั้งสามได้ เงินฝากตามบัญชีเป็นของบุตรทั้งสามบางส่วน นอกนั้นเป็นเงินของนายศุภสิทธิบ้าง เงินของจำเลยที่ 1 บ้าง จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนายกเงินให้บุตรทั้งสาม โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถอนเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย และจำเลยที่ 2 ที่ 3 รู้เห็นในเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาฝาก กับไม่มีข้อเท็จจริงว่าฝากเงินเพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสาม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาที่ว่าเงินตามที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนจำนวน 935,908.88 บาทซึ่งจำเลยแถลงรับว่าเป็นยอดเงินที่ถูกต้องเป็นเงินของใครนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินในบัญชีชื่อเด็กทั้งสามที่พิพาทกันนี้เป็นเงินที่มาจากสินสมรสระหว่างนายศุภสิทธิกับจำเลยที่ 1 ระคนปนอยู่กับเงินส่วนตัวของเด็กทั้งสามเองด้วย ส่วนปัญหาที่ว่าเงินจำนวนที่ฝากไว้ที่ธนาคารทั้งหมดที่พิพาทกันจะฟังว่าเป็นของใครนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเงินส่วนของเด็กทั้งสามย่อมไม่มีปัญหา ต้องฟังว่าเป็นของเด็กทั้งสาม การที่นายศุภสิทธิได้เปิดบัญชีเงินฝากให้บุตรทั้ง 3 คนซึ่งผู้ฝากเป็นผู้ปกครอง แต่เงินที่ฝากเป็นเงินให้เด็ก จึงเชื่อได้ว่านายศุภสิทธิมีเจตนายกเงินที่นำเข้าฝากดังกล่าวให้แก่เด็กโดยแยกการเก็บรักษาไว้เป็นส่วนสัดต่างหาก โดยความรู้เห็นยินยอมจากจำเลยที่ 1ด้วย ส่วนเงินจำนวนที่จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้รับและได้นำเข้าฝากในบัญชีของเด็กทั้งสาม ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ยกเงินก้อนนั้นให้แก่เด็กทั้งสามแล้ว เงินที่พิพาทในบัญชีธนาคารแห่งอเมริกาตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นเงินของเด็กทั้งสามทั้งสิ้น หาใช่เป็นเงินที่นายศุภสิทธิหรือจำเลยที่ 1 ฝากไว้เป็นของตนเอง โดยฝากไว้ในนามของเด็กทำนองลงชื่อบุตรเป็นนามแฝงไม่ ส่วนการที่ต้องมีข้อตกลงกับธนาคารว่า ผู้ใดจะเป็นผู้ลงชื่อถอนเงินจากธนาคารได้นั้นเป็นเรื่องระเบียบและวิธีการตามธรรมดาของธนาคาร เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1545 และ 1546 ก็ได้บัญญัติให้อำนาจและวิธีการแก่ผู้ใช้อำนาจปกครองที่จะนำเงินของบุตรไปใช้จ่ายได้อยู่ก็ย่อมจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีการระบุชื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะถอนเงินของบุตรจากธนาคารไว้ด้วยมิฉะนั้นจะเกิดความยุ่งยากในกรณีที่จำเลยจะต้องถอนมาใช้จ่ายตามอำนาจส่วนที่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจเบิกเงินจากบัญชีของเด็กได้นั้น โจทก์ก็นำสืบอยู่ว่านายศุภสิทธิได้มอบให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เบิกเงินมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของเด็ก จึงเป็นเรื่องมอบหมายให้จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่แทนนายศุภสิทธิตามธรรมดานั่นเอง
ในปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 1 จะนำเอาเงินของเด็กไปใช้สอยได้แค่ไหนเพียงใดหรือไม่นั้น วินิจฉัยว่า แม้บุตรผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาก็ตาม แต่อำนาจปกครองโดยแท้จริงคงอยู่ที่บิดาเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1537 ฉะนั้น บิดาจึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง และผู้ใช้อำนาจปกครองเท่านั้นจึงจะมีสิทธิเอาเงินของบุตรมาใช้ได้ตามสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1545 จำเลยที่ 1 ก็หาใช่บุคคลที่ยากจน จึงไม่มีสิทธิและไม่สมควรที่จะเอาเงินของบุตรไปใช้สอยส่วนตัว สำหรับเงินที่ใช้สอยในการเลี้ยงดูและให้การศึกาาแก่เด็กทั้งสามซึ่งจำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง แต่ก็ไม่ได้นำสืบว่าใช้จ่ายไปเท่าใด จึงไม่อาจคำนวณหักให้แก่จำเลยที่ 1 ได้
คดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 วินิจฉัยว่า ถ้าหากมีทรัพย์สินของเด็กทั้งสามไปตกอยู่ที่ใด เด็กในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนมาได้จะอ้างว่าเด็กทั้งสามไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ แต่คดีนี้จำเลยที่ 1 นำสืบว่าได้เอาเงิน 300,000 บาท คืนมาจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบหักล้าง จึงต้องฟังว่าเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนไม่ได้อยู่ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้ว และไม่อาจบังคับได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินตามฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ย ส่วนค่าทนายความคดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีในนามของตนเองแทนเด็กตามอำนาจหน้าที่ในกฎหมายโดยไม่ได้มีการแต่งตั้งทนาย จึงไม่สั่งให้ค่าทนายความ