โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยและบริวารกับบุคคลอื่นบุกรุกที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายคิดเป็นค่าเสียหาย 100,000บาท ขอให้พิพากษาห้ามมิให้จำเลยกับพวกและบริวารผ่านที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 100,000 บาทกับค่าเสียหายอีกเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยกับพวกจะหยุดกระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินของโจทก์เป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นของที่ดินจำเลย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้ที่ดินของโจทก์เป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นของที่ดินจำเลย ให้โจทก์ไปจดทะเบียนภาระจำยอมหรือรับค่าทดแทนจากจำเลยในกรณีฟังว่าเป็นทางจำเป็น หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินของโจทก์ไม่ตกเป็นทางจำเป็นและทางภาระจำยอมของที่ดินจำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 61188ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 136952 ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี ให้จำเลยใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 15,000 บาทคำขอของจำเลยนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม 2532 โจทก์โดยนายชูเกียรติ ธีระประภา ทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์จำเลยตกลงกันได้แล้ว โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยในชั้นอุทธรณ์อีกต่อไปโจทก์จึงขอถอนอุทธรณ์ของโจทก์ ท้ายคำร้องดังกล่าวจำเลบยบันทึกว่าจำเลยได้รับสำเนาและทราบคำร้องขอถอนอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว ไม่คัดค้านการถอนอุทธรณ์และจำเลยลงชื่อไว้ ในวันเดียวกันนั้นเองศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า วันนี้ทนายโจทก์และจำเลยมาศาลคู่ความแถลงว่าตกลงกันได้แล้วโจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์และแถลงไม่ติดใจบังคับคดีกับจำเลยตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอีกต่อไปจำเลยทราบแล้วแถลงไม่คัดค้านการที่โจทก์จะถอนอุทธรณ์ จึงได้บันทึกไว้ นายชูเกียรติ ธีระประภา ทนายโจทก์และจำเลยลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นด้วย ต่อมาศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องขออุทธรณ์ของโจทก์และส่งมาให้ศาลชั้นต้นอ่าน ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2532 ครั้นถึงวันนัดตัวโจทก์ยื่นคำร้องในวันนั้นเองว่าโจทก์ทราบว่าทนายโจทก์ได้ขอถอนอุทธรณ์ โจทก์ขอยืนยันว่า โจทก์ไม่ถอนอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินคดีต่อไปศาลชั้นต้นจึงให้งดการอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไว้ก่อน แล้วให้รวบรวมคำร้อง สำนวน พร้อมคำสั่งของศาลอุทธรณ์ส่งคืนศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่งให้โจทก์นำสำเนาคำร้องให้จำเลยทราบภายในวันนี้ ไม่มีผู้รับให้ปิดต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2532 สั่งคำร้องขอถอนอุทธรณ์ของทนายโจทก์ว่า พิเคราะห์แล้วอนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์ ค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท จึงไม่คืนให้ จำหน่ายคดีและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งลงวันที่ 31 ตุลาคม 2532 สั่งคำร้อของตัวโจทก์ที่ว่าไม่ถอนอุทธรณ์ว่า พิเคราะห์แล้วทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์โดยจำเลยไม่คัดค้านและศาลอุทธรณ์ทำคำสั่งแล้ว ตัวโจทก์มายื่นคำร้องว่ายืนยันไม่ถอนอุทธรณ์โดยม่มีเหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่ควรถอนอุทธรณ์ ไม่มีเหตุสมควรอนุญาต ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งคำร้องของศาลอุทธรณ์ทั้งสองฉบับพร้อมกันในวันที่ 18 ธันวาคม 2532 โจทก์จึงฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ทั้งสองฉบับดังกล่าว ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ทั้งหมดและให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้โจทก์ได้แต่งให้นายชูเกียรติธีระประภา เป็นทนายโจทก์ โดยให้มีอำนาจในการอุทธรณ์และถอนอุทธรณ์ด้วย ปรากฏว่านายชูเกียรติ ได้ยื่นอุทธรณ์ในนามของโจทก์และต่อมาก็ได้ขอถอนอุทธรณ์ในนามของโจทก์ ซึ่งนายชูเกียรติมีอำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นได้ ในการยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์นั้น นายชูเกียรติก็ให้เหตุผลว่า เหตุที่ขอถอนอุทธรณ์ก้เพราะตกลงกับจำเลยได้ ตัวจำเลยก็บันทึกท้ายคำร้องว่าไม่คัดค้านการขอถอนอุทธรณ์และลงชื่อไว้ศาลชั้นต้นได้สอบถามนายชูเกียรติและตัวจำเลยในวันนั้นและได้จดรายงานกระบวนพิจารณาให้นายชูเกียรติและจำเลยลงชื่อไว้ด้วยในรายงานกระบวนพิจารณานายชูเกียรติก็ยืนยันว่าโจทก์ขอถอนอุทธรณ์และไม่ติดใจบังคับคดีกับจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไป จำเลยไม่คัดค้าน การที่ตัวโจทก์ยื่นคำร้องในวันนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งคำร้องขอถอนอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวว่าโจทก์ไม่ถอนอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินคดีต่อไปโดยโจทก์ไม่ให้เหตุผลว่าคำร้องขอถอนอุทธรณ์ที่ทนายโจทก์ยื่นแทนโจทก์นั้นไม่ชอบอย่างไร เหตุใดโจทก์จึงมีความเห็นขัดแย้งกับทนายโจทก์ในเรื่องขอถอนอุทธรณ์ ทนายโจทก์ขอถอนอุทธรณ์โดยอ้างว่า โจทก์จำเลยตกลงกันได้แล้ว จำเลยก็ไม่คัดค้านการขอถอนอุทธรณ์ ตัวโจทก์มายื่นคำร้องยืนยันว่าโจทก์ไม่ถอนอุทธรณ์นั้นโจทก์ก็ไม่ปฏิเสธในเรื่องตกลงกับจำเลยได้ ดังนั้นหากศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์แต่ให้พิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไปก็อาจทำให้จำเลยเสียเปรียบ ตามพฤติการณ์แห่งคดีนี้ศาลฎีกาเห็นด้วยกับคำสั่งของศาลอุทธรณ์ทั้งสองฉบับดังกล่าวเพราะเห็นว่าศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจในการสั่งคำร้องดังกล่าวโดยชอบแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไขดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ชอบที่จะไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาคำร้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยในเมื่อคำร้องของโจทก์มิได้ให้เหตุผลประการใดเลย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน.