โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็คธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ จำกัด สาขาเมืองพานจ่ายเงิน ๙๑,๐๖๒ บาท ๒๕ สตางค์ให้แก่นายสุรชัยเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้า เมื่อถึงกำหนดวันสั่งจ่ายสุรชัยได้นำเช็คไปขึ้นเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินเพราะไม่มีเงินพอจ่าย ทั้งนี้จำเลยออกโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และออกเช็คให้ใช้เงินจำนวนสูงกว่าเงินในบัญชีอันจะให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็ค นายสุรชัยผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานเอาคดีขึ้นว่ากล่าวกับจำเลยแล้ว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ จำคุก ๓ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ว่า นายสุรชัยไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และจำเลยไม่ได้กระทำผิดดังฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายสุรชัยมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง แต่คดีน่าเชื่อว่าจำเลยเซ็นชื่อในเช็คโดยไม่ได้ลงวันที่ ไม่มีทางที่จะให้จำเลยทราบได้ว่าจะให้มีการใช้เงินตามเช็คในวันใด ไม่มีผลที่จะลงโทษทางอาญาแก่จำเลยพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ออกเช็คชำระค่าสินค้าแก่ร้ายจิวเม่งเฮงจริง แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีได้ความว่านายสุรชัยเป็นบุตรจิวหง ช่วย นายจิวหงค้าขายอยู่ในร้าน จำเลยออกเช็คจ่ายเงินสดชำระหนี้ให้แก่ร้านจิวเม่งเฮง ขณะที่จำเลยนำเช็คมาชำระหนี้นั้น นายจิวทงและสุรชัย อยู่พร้อมหน้ากัน ถึงจำเลยจะมอบเช็คให้นายสุรชัย แต่ก่อนที่นายสุรชัยจะรับเช็คไว้ นายสุรชัยได้ให้นายจิวหงตรวจดูเช็คนั้นแล้ว ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดจ่ายเงิน นายสุรชัยให้นายสุพัตรนำเช็คไปเบิกเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน กรณีเช่นนี้ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีมติว่า ถือได้ว่านายจิวหงเจ้าของร้านร้านจิวเม่งเฮงเป็นเจ้าหนี้เป็นผู้ทรงเช็ค เช็คฉบับนี้นายสุรชัย เป็นเพียงผู้เก็บรักษาเช็คไว้แทนนายจิวทงเท่านั้น เมื่อนายสุรชัยไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค นายสุรชัยก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์เป็นผู้เสียหายเสียเองการร้องทุกข์จึงไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
พิพากษายืน