คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป ๔,๐๐๐ บาท พ้นกำหนดแล้วไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้กู้เงินจากโจทก์ไป ๔,๐๐๐ บาทจริง โดยให้ที่นาทำต่างดอกเบี้ย ไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงิน แต่ตกลงกันว่า เมื่อยังไม่ชำระเงิน ให้โจทก์ทำนาต่อไป เมื่อต้นเดือนเมษายน ๒๕๐๖ จำเลยนำเงินไปชำระ โจทก์รับไว้แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญากู้ โดยจะเอาดอกเบี้ยอีก ขอให้ศาลยกฟ้อง
สำนวนหลัง นางพันธ์โจทก์ฟ้องนายชมเป็นจำเลย ฐานไม่ยอมคืนสัญญากู้และเรียกค่าเสียหาย ขอให้จำเลยคืนสัญญากู้ และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธว่านางพันธ์โจทก์ยังไม่ได้ชำระเงินต้น ๔,๐๐๐ บาท ไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า น้ำหนักคำพยานทางฝ่ายนางพันธ์ดีกว่านายชม ๆ จึงแพ้คดี พิพากษายกฟ้องคดีที่นายชมเป็นโจทก์
นายชมทั้งในฐานะโจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้นางพันธ์จำเลยใช้เงินต้นกับดอกเบี้ยให้นายชม
นางพันธ์ทั้งในฐานะจำเลยและโจทก์ฎีกา
เพื่อความสะดวก ศาลฎีกาจึงกำหนดให้เรียกนายชมว่าโจทก์และเรียกนางพันธ์ว่าจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสองสำนวนนี้เป็นเรื่องกู้ยืมที่มีหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งมีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับไว้เป็นพิเศษว่า ผู้กู้จะนำสืบการใช้เงินได้เฉพาะเท่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น จะสืบพยานบุคคลไม่ได้เพราะต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ฉะนั้นจำเลยจึงสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระต้นเงินกู้แล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้ต้นเงินกู้ให้โจทก์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาแสดงต่อศาล จำเลยต้องแพ้คดีโจทก์ จึงพิพากษายืน