โจทก์ฟ้องและแก้คำฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 80, 91, 288, 295, 297, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบปลอกกระสุนปืนและลูกกระสุนปืนออโตเมติก (ทองแดงหุ้มตะกั่ว) ของกลาง กับบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3572/2553 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ ต่อมาก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 295 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นกับฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 12 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น คงจำคุก 6 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 3 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน บวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3572/2553 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้อีก 6 เดือน เป็นจำคุก 6 ปี 12 เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นฎีการับฟังได้เป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีและพาอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .45 (11 มม.) ซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยโดยมีเจตนาฆ่าใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายวิวัฒน์ ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 นัด เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลบริเวณช่องอกด้านซ้ายซึ่งเป็นทางกระสุนปืนเข้าและทะลุออกด้านหลังด้านซ้าย กระสุนทะลุเนื้อปอด มีภาวะเสียเลือดอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงทีจะต้องเสียชีวิต หลังการรักษาต้องพักรักษาตัวอย่างน้อย 2 เดือน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน กับจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนางสาวเนตรทราย ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 1 นัด แนวกระสุนผ่านจากลำคอออกทางบ่าขวา ใช้เวลารักษาบาดแผลประมาณ 14 ถึง 21 วันและจำเลยยังใช้อาวุธปืนดังกล่าวตีทำร้ายนางจันทร์เพ็ญ ผู้เสียหายที่ 3 บริเวณศีรษะหลายครั้ง ได้รับบาดแผลที่ขมับทั้งสองข้างและกลางศีรษะ ใช้เวลารักษาประมาณ 7 ถึง 14 วัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 และใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 ดังที่ปรากฏในฟ้องข้อ 1 (ค) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยบรรยายฟ้องข้อ 1 (ค) ว่า จำเลยโดยมีเจตนาฆ่าใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่มีและพาติดตัวไปตามฟ้องข้อ 1 (ก) และ (ข) ยิงนายนิวัฒน์ ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 นัด ถูกที่ข้อเท้าด้านซ้ายและหน้าอก และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนางสาวเนตรทราย ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 1 นัด ถูกที่ลำคอ แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวตีทำร้ายนางจันทร์เพ็ญ ผู้เสียหายที่ 3 ที่ศีรษะหลายครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 3 ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยลงมือกระทำความผิดต่อผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 แล้วแต่ไม่บรรลุผลเนื่องจากแพทย์รักษาไว้ได้ทัน ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ถึงแก่ความตายแต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน กับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 (ค) รวมกันมาก็ตาม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องแยกข้อเท็จจริงที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคน ในลักษณะที่ทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำแต่ละครั้งมีจุดประสงค์ต่อผู้เสียหายเป็นคน ๆ ไป อันเป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกันในแต่ละครั้ง ทั้งโจทก์ได้บรรยายฟ้องในข้อ 1 ตอนแรกว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน และได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย เป็นการเพียงพอให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 1 (ค) ในแต่ละข้อหาเป็นแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกันรวมสามกรรม ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความจากการสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่า ขณะจำเลยลากตัวผู้เสียหายที่ 3 ออกจากบ้านที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 2 พยายามดึงผู้เสียหายที่ 3 กลับ จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่ผู้เสียหายที่ 2 เมื่อเสียงปืนดังขึ้น ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอยู่หลังบ้านที่เกิดเหตุรีบวิ่งออกมา เห็นจำเลยกำลังใช้อาวุธปืนเล็งไปที่ผู้เสียหายที่ 3 ผู้เสียหายที่ 1 ร้องตะโกนห้ามและเอาตัวเข้าขวางอาวุธปืนไว้จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 นัด จากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 บริเวณศีรษะหลายครั้ง แสดงให้เห็นชัดเจนว่าขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 2 นั้น ผู้เสียหายที่ 1 ยังอยู่หลังบ้านที่เกิดเหตุ มิได้อยู่ในสถานที่เดียวกับผู้เสียหายที่ 2 และตอนที่จำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 ก็เกิดขึ้นหลังจากยิงผู้เสียหายที่ 2 และที่ 1 ไปแล้ว แม้เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน แต่แยกเจตนาของจำเลยที่กระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนได้ ซึ่งการกระทำแต่ละครั้งเป็นความผิดสำเร็จต่างหากจากกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเรียงกระทงอันเป็นการขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 295 (เดิม) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 12 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 4 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น รวม 2 กระทง คงจำคุกกระทงละ 6 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น คงจำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 12 ปี 2 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3572/2553 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้อีก 6 เดือน แล้ว รวมเป็นจำคุก 12 ปี 14 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7