คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 60/703 และ 60/704 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 12374 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หลังจากนั้นบริษัทบริหารสินทรัพย์ ก. ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังผู้จัดการนิติบุคคลของผู้ร้อง ขอให้ตรวจสอบและแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือ เพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับการแจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายและค่าส่วนกลางค้างชำระของผู้ร้องไว้เพื่อกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับการแจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายและค่าส่วนกลางค้างชำระของผู้ร้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 60/703 และ 60/704 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 12374 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ วันที่ 25 ธันวาคม 2558 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังผู้จัดการนิติบุคคลของผู้ร้อง ขอให้แจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือบอกกล่าว เพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งมีบุคคลลงลายมือชื่อรับเอกสารดังกล่าวไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2563 โจทก์ซื้อทรัพย์ดังกล่าวจากการขายทอดตลาดในราคาห้องละ 530,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,060,000 บาท ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแจ้งรายการค่าส่วนกลางค้างชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่า ผู้ร้องไม่ได้แจ้งภาระค่าใช้จ่ายภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 335 จึงไม่กันส่วนเงินค้างชำระให้แก่ผู้ร้อง
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องรับการแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 41 (2) ให้ถือว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางเป็นบุริมสิทธิในลำดับเดียวกับบุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุด ซึ่งบุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 (1) คือ บุริมสิทธิรักษาอสังหาริมทรัพย์ และพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 วรรคท้าย บัญญัติว่า บุริมสิทธิตาม (2) ถ้าผู้จัดการได้ส่งรายการหนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วให้ถือว่าอยู่ในลำดับก่อนจำนอง การที่ผู้ร้องไม่ได้แจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 วรรคท้าย คงทำให้ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิอันจะได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่ใช้สิทธิขอกันส่วนในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบมาตรา 41 (2) แม้ผู้ร้องไม่ได้ส่งรายการหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนด สิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคสอง ซึ่งเป็นบุริมสิทธิลำดับเดียวกับบุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้าของห้องชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 (2) ก็ไม่ได้เสียไป เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องรับการแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ของผู้ร้องเพื่อกันเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดห้องชุดหลังจากบังคับจำนองชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ