โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทประกอบการค้าอยู่ ณ สหรัฐอเมริกาเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีนายเจมส์ เอส เบเคอร์ เป็นประธานกรรมการและมีอำนาจทำการแทนโจทก์ ได้มอบอำนาจให้นายปริญญา จันทร์เรือง ฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการเป็นนายหน้าตัวแทนและสั่งสินค้าจากต่างประเทศ มีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๔ โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนโดยได้รับบำเหน็จเสนอขายหม้อแปลงไฟฟ้า ๑ ชุด รวมทั้งการทำภาพและผังต่อบริษัทไฟฟ้าฟิลลิปส์แห่งประเทศไทย จำกัด ในราคา ๑๖,๗๘๐ ดอลล่าร์สหรัฐ (เท่ากับ ๓๔๙,๐๒๔ บาท) บริษัทไฟฟ้าฟิลลิปส์ฯ ตกลงรับซื้อ โจทก์ได้ส่งสิ่งของให้ผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว บริษัทไฟฟ้าฟิลลิปส์ฯ ได้ชำระค่าสิ่งของจำนวนดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ โจทก์ทวงถามเงินจำนวนนี้จากจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๔๙,๐๒๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินหมด
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า โจทก์ไม่ใช่นิติบุคคลเพราะไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย และไม่มีหลักฐานว่านายเจมส์ เอส เบเคอร์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยเป็นตัวแทนของโจทก์ขายสินค้าตามฟ้องให้บริษัทไฟฟ้าฟิลลิปส์ฯ การซื้อขายหม้อแปลงไฟฟ้าระหว่างโจทก์กับบริษัทไฟฟ้าฟิลลิปส์ฯ รายนี้ผู้ซื้อมีหน้าที่ชำระสินค้าให้โจทก์ด้วย จำเลยไม่เคยรับเงินค่าสินค้าแทนโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด มีนายเจมส์ เอส เบเคอร์ เป็นประธานกรรมการมีอำนาจทำการแทนโจทก์ จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของโจทก์ขายหม้อแปลงไฟฟ้าให้บริษัทไฟฟ้าฟิลลิปส์ฯ และได้รับเงินไปจากบริษัทไฟฟ้าฟิลลิปส์แล้ว ๓๕๒,๓๘๐ บาท จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๔๙,๐๒๔ บาทเท่าที่โจทก์ขอ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้ให้การคัดค้านว่าโจทก์ไม่ใช่นิติบุคคลตามกฎหมายสหรัฐอเมริกา โจทก์มีนายปริญญา จันทร์เรือง มาเบิกความยืนยันว่าโจทก์เป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนที่สหรัฐอเมริกาและปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องว่า บริษัทเจมส์ เอส เบเคอร์ เป็นบริษัทอเมริกัน สำนักงานอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นการเพียงพอที่จะฟังว่าบริษัทโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาแล้ว แม้จะไม่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทยก็ฟ้องคดีในศาลไทยได้ ส่วนที่จำเลยคัดค้านว่าใบมอบอำนาจมิได้ปิดอากรแสตมป์รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๐ วรรคสอง มิได้บัญญัติว่าโจทก์จะต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจติดมากับฟ้อง ทั้งศาลก็ไม่ได้สั่งให้โจทก์ส่งใบมอบอำนาจเพราะมีเหตุอันควรสงสัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๗ โจทก์จึงไม่ต้องส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาล เมื่อไม่มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าเอกสารฉบับนี้มิได้ปิดอากรแสตมป์จึงตกไป.