โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินแปลงตามที่ปรากฏในแผนที่สังเขป เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ผู้ร้องสอดทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดทั้งสอง ให้โจทก์มอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่ผู้ร้องสอดทั้งสองและให้ขับไล่โจทก์กับบริวารออกจากที่ดินพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดทั้งสองเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1)
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ร้องสอดขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงพิพาทตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลโคกสาร อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ ตามแผนที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่ดินพิพาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับผู้ร้องสอดทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ยกคำร้องสอดของผู้ร้องสอดทั้งสอง และยกอุทธรณ์ของผู้ร้องสอดทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องสอดทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องมานั้น เป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า โดยโจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2510 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดเพื่อออกโฉนดในที่ดินพิพาท เป็นการบุกรุกและรบกวนการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์จึงย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย ส่วนที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยของดการรังวัดที่ดินพิพาทไว้ก่อนเนื่องจากไม่สามารถนำชี้แนวเขตที่ดินพิพาทได้ชัดเจนนั้น ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่จำเลยได้กระทำที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ จึงหามีผลกระทบต่ออำนาจฟ้องของโจทก์ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
อนึ่ง ผู้ร้องสอดทั้งสองอ้างมาในคำร้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง กับขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท อันเป็นการร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ดังนั้นเมื่อโจทก์ให้การแก้คำร้องสอดว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะเรียกคู่ความมากำหนดทุนทรัพย์และเรียกค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์เสียให้ถูกต้อง
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยก่อนศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลชั้นต้นเรียกคู่ความมากำหนดทุนทรัพย์ที่พิพาท และเรียกค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เสียให้ถูกต้อง สำหรับค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาให้เป็นพับ