โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนบันทึกข้อตกลงเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินให้เติมชื่อบุตรทั้งสามของโจทก์เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยฯลฯ
จำเลยให้การว่า ไม่มีเหตุตามกฎหมายที่โจทก์จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมตามฟ้อง ฯลฯ
หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ในวันสืบพยานจำเลยครั้งแรก ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดี อ้างว่าตนป่วยไม่สามารถมาว่าความได้และมีใบรับรองแพทย์แนบมาพร้อมกับคำร้อง ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามขอ แต่กำชับว่าจะไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีอีกไม่ว่าด้วยหตุใดครั้นถึงวันสืบพยานจำเลยครั้งที่ ๒ ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างเหตุเดียวกันพร้อมใบรับรองแพทย์ ทนายจำเลยแถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นถือว่าส่อเจตนาจะประวิงคดีให้ชักช้าจึงไม่อนุญาต แล้วสืบพยานจำเลยต่อไปจนเสร็จคดี และพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่า ทนายโจทก์ไม่มีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้า ขอให้มีการสืบพยานจำเลยใหม่ เพื่อโจทก์จะได้มีโอกาสซักค้าน ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การขอเลื่อนคดีของทนายโจทก์มิใช่เป็นการประวิงคดีให้ชักช้า พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในวัดนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเพราะตนป่วยไม่สามารถว่าความได้ในวัดนัดสืบพยานจำเลยครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๒๐ ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีอีกเพราะตนป่วยไม่สามารถว่าความได้ และมีใบรับรองของแพทย์แนบมาพร้อมกับคำร้อง แม้ในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกศาลจะได้กำชับฝ่ายโจทก์ว่าจะไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีอีกไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ แต่การขอเลื่อนคดีของทนายโจทก์ครั้งที่ ๒ นี้เป็นเพราะความเจ็บป่วยโดยมีใบรับรองของแพทย์มาแสดงเป็นหลักฐานทนายจำเลยก็มิได้คัดค้านว่าไม่เป็นความจริง คงคัดค้านแต่ว่าการขอเลื่อนคดีของทนายโจทก์ทำให้คดีชักช้า เพราะพยานจำเลยมาศาลพร้อมแล้ว ดังนี้ ยังไม่เป็นเหตุพอที่จะถือว่าทนายโจทก์เจตนาจะประวิงคดี
พิพากษายืน.