โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาขายบ้านให้จำเลยทั้งสองเป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท โจทก์รับเงินไว้แล้ว ๕๒,๐๐๐ บาท เงินที่เหลืออีก ๑๘,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองจะชำระให้เสร็จสิ้นในวันโอนกรรมสิทธิ์ โจทก์ได้จัดการโอนบ้านเสร็จแล้ว จำเลยไม่ชำระราคาที่ค้างอยู่ ๑๘,๐๐๐ บาท และค้างดอกเบี้ยอีก ๖,๑๘๗.๕๐ บาท ขอศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์ ๒๔,๑๘๗.๕๐ บาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กันมาก่อน สัญญาท้ายฟ้องจำเลยที่ ๒ ทำโดยถูกโจทก์หลอกลวง จำเลยที่ ๒ ได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว โจทก์ฟ้องโดยมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทั้งสองตกลงซื้อบ้านจากโจทก์ ยังค้างชำระเงินอยู่ ๑๘,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน ๑๘,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ไม่ฟ้องคดีเสียภายใน ๒ ปี เห็นว่าการฟ้องขอให้ชำระเงินค่าซื้อบ้านที่ค้างอยู่สัญญาไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้ จึงต้องใช้อายุความ ๑๐ ปีตามมาตรา ๑๖๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน.