โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างประเทศและในฐานะส่วนตัวได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 4 แถลงข่าวอันเป็นเท็จต่อหนังสือพิมพ์ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมีนาคม 2528 เกี่ยวกับการที่โจทก์ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการจัดพิมพ์และโฆษณาสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้นำคำแถลงข่าวดังกล่าวไปตีพิมพ์เผยแพร่ทำให้โจทก์เสียหาย ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ผู้รับมอบอำนาจยังได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งพร้อมทั้งแถลงข่าวต่อหนังสือพิมพ์กล่าวหาโจทก์เรื่องเดียวกันนี้อีก ซึ่งหนังสือพิมพ์ก็ได้ลงตีพิมพ์ข่าวอันเป็นเท็จนั้นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้จำเลยที่ 3 ยังได้แถลงข่าวต่อหนังสือพิมพ์อีกว่า จำเลยที่ 4 จะจัดพิมพ์และแจกจ่ายสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ในประเทศในต้นปี พ.ศ. 2529 และจำเลยที่ 4 ได้โฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์และมีหนังสือถึงบริษัทห้างร้านทั่วไปเพื่อหาโฆษณาสำหรับลงในสมุดรายนามที่จำเลยที่ 4 จะจัดพิมพ์ขึ้น จำเลยกระทำการดังกล่าวโดยรู้ว่าไม่มีสิทธิจัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ในประเทศไทย ทำให้เกิดความสับสนแก่ผู้ที่จะลงโฆษณาธุรกิจในสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์และจงใจกลั่นแกล้งขัดขวางการดำเนินงานจัดหาโฆษณาของโจทก์ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายต่อชื่อเสียงธุรกิจตลอดจนทางทำมาหาได้และทางเจริญของโจทก์คิดเป็นเงินทั้งสิ้น2,632,382,500 บาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสี่หยุดการหาลูกค้าเพื่อโฆษณาในสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ และห้ามจำเลยทั้งสี่จัดพิมพ์สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1ไว้ แจ้งชัดแล้วว่า จำเลยที่ 1 อยู่บ้านเลขที่ 518/4 อาคารสิริณี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตศาลแพ่ง ทั้งตามฟ้องของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ 4603/2528 ก็ได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยไว้ว่า จำเลยที่ 1 อยู่บ้านเลขที่ 518/4 อาคารสิริณี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เช่นเดียวกันกรณีควรฟังข้อเท็จจริงไว้ก่อนว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ชอบที่จะต้องรับฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป.