โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนทำให้พนักงานสอบสวนหลงเชื่อ ทำการสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการฟ้องโจทก์กับพวกในคดีอาญาหาว่ารับสิ่งของไว้โดยรู้ว่าเป็นสิ่งของที่หลีกเลี่ยงอากรขาเข้าและจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีอาญา นั้น แต่ศาลไม่เชื่อพยานโจทก์จึงพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานสมคบกันแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ จำเลยทั้งสองรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง คดีถึงที่สุด เนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย รวม 53,000 บาท กับดอกเบี้ยและให้ประกาศหนังสือพิมพ์ถึงความบริสุทธิ์ของโจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การรับว่าเป็นความจริงดังโจทก์ฟ้องและโจทก์เสียหายจริงตามฟ้อง แต่จำเลยไม่มีเงินใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยที่ 2 ให้การรับว่า ได้แจ้งความและเบิกความเท็จและถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จจริงแต่ต่อสู้ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ เพราะเจ้าพนักงานจับกุมโจทก์ก็โดยได้รับแจ้งจากสายลับและว่าค่าเสียหายอย่างมากไม่เกิน 1,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้อง คำให้การและสอบถามโจทก์ว่า จะสืบพยานว่าอย่างไร โจทก์แถลงว่า จะขอสืบตามฟ้องตลอดถึงค่าเสียหายด้วยศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ ทั้งศาลก็ได้พิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ ก็ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาและวินิจฉัยได้แล้วว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์โดยตรง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดตามที่โจทก์เสียหายในคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420, 438 แต่จำเลยที่ 2 ยังปฏิเสธจำนวนค่าเสียหายอยู่ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน 2 ฝ่าย จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว จำเลยที่ 1 รับสารภาพตามฟ้อง ไม่มีข้อต่อสู้ประการใดเลย แม้จำเลยที่ 2 ก็รับตามฟ้อง ปฏิเสธแต่จำนวนค่าเสียหายกับต่อสู้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา คือ ฟังว่าจำเลยได้แจ้งความเท็จและเบิกความเท็จจริง ซึ่งการกระทำดังนี้เป็นการละเมิดต่อโจทก์โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายทดแทนเพื่อเหตุละเมิดได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240, 438 และศาลจะต้องฟังคำพยานของคู่ความต่อไปเฉพาะในเรื่องจำนวนค่าเสียหายเท่านั้น เพราะจำเลยที่ 2 ปฏิเสธอยู่
ศาลฎีกาพิพากษายืน