โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 6 คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันมีมีดฉุดคร่ากระทำอนาจารนางสาวหนูเวียง นางสาวกุลผู้เสียหายซึ่งมีอายุกว่า 13 ปี โดยจำเลยกับพวกใช้มีดขู่จะทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองอันเป็นการใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม แล้วจำเลยที่ 1 กับพวกอีก 3 คนฉุด นางสาวหนูเวียงและผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่คนละครั้ง ซึ่งนางสาวหนูเวียงมิใช่ภริยาของจำเลยกับพวก และอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ส่วนจำเลยที่ 2 กับพวกอีก 3 คนฉุดนางสาวกุลและผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่คนละครั้ง ซึ่งนางสาวกุลมิใช่ภริยาจำเลยกับพวกและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทำของจำเลยกับพวกทั้งหมดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 278, 281, 284, 83
จำเลยต่างให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 278, 281, 284, 83 ลงโทษตามมาตรา 276, 281, 83 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกคนละ 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามมาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่พอฟังลงโทษ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ ยืน
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้อง ชอบที่จะยกฟ้อง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดจริงดังฟ้องแล้ววินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 กับพวกอีก 3 คนข่มขืนกระทำชำเรานางสาวกุล ข้อเท็จจริงจึงต่างกับฟ้องในสารสำคัญ ศาลต้องยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า ประเด็นสำคัญของคดีก็คือว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 กับพวกอีก 3 คนข่มขืนกระทำชำเรานางสาวกุล อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง สารสำคัญของฟ้องมีดังกล่าวส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาที่ว่าพวกของจำเลยที่ 2บางคนรู้ตัวแน่ชัดว่าเป็นจำเลยที่ 1 นายสำลี กับชายอีกคนหนึ่งนั้น ก็เป็นเพียงรายละเอียด หาใช่ข้อสารสำคัญไม่ จำเลยที่ 2ก็นำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ เห็นได้ว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้คดีเลยศาลจึงลงโทษจำเลยได้
แต่ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และปรับบทลงโทษตามมาตรา 281 มาด้วยนั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะการที่จำเลยฉุดคร่ากระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย แล้วต่อมาได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน และมาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงไม่จำต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลยด้วย อนึ่ง ปรากฏว่าความผิดฐานกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา 278 นั้น เป็นความผิดตามมาตรา 284อันเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่จำต้องยกมาตรา 278 ขึ้นปรับบทลงโทษจำเลยอีกเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 284, 83 ลงโทษตามมาตรา 276, 83 ซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุดตามมาตรา 91 ส่วนการกำหนดโทษและลดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น