โจทก์ฟ้องว่า นางอำไพทำสัญญารับสภาพหนี้ยินยอมชดใช้แก่โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนภายในวันที่ ๑๐ ของเดือน จนกว่าจะครบ จำเลยทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์ นางอำไพผิดนัดไม่ชำระหนี้และจำเลยก็ไม่ยอมชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ขณะฟ้องคดีนี้อธิบดีกรมศิลปากรยังดำรงตำแหน่งปฏิบัติราชการอยู่ นายพินิจรองอธิบดีไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาค้ำประกันเป็นโมฆะโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้นางอำไพ จำเลยจึงพ้นความรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่านายพินิจมีอำนาจฟ้องแทนโจทก์หรือไม่โจทก์มีพยาน คือ นายพินิจ นางสมใจ และนายเอกชัยเบิกความว่า นายพินิจเป็นรองอธิบดีกรมศิลปากร ระหว่างวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๑๙ ถึงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๑๙ อธิบดีกรมศิลปากรไปต่างประเทศ นายพินิจปฏิบัติราชการแทน พยานโจทก์ ดังกล่าวเป็นข้าราชการจึงมีน้ำหนักเป็นที่เชื่อได้ ส่วนจำเลยไม่มีพยานมาสืบหักล้างเมื่อปรากฏว่าอธิบดีกรมศิลปากรไปต่างประเทศ ถือได้ว่าไม่อาจปฏิบัติราชการได้นายพินิจปฏิบัติราชการแทนซึ่งเป็นการรักษาราชการแทนตามประกาศของคระปฏิวัติฉบัยที่ ๓๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๒ วรรคสอง คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๑๙ ขณะที่อธิบดีกรมศิลปากรไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ นายพินิจรองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมศิลปากรจึงมีอำนาจฟ้องแทนโจทก์ที่จำเลยฎีกาว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวบัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ถ้ามีรองอธิบดีหลายคนให้ปลัดกระทรวงแต่งตั้งรองอธิบดีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน แต่โจทก์ไม่นำสืบว่ากรมศิลปากรมีรองอธิบดีคนเดียว จึงฟังไม่ได้ว่านายพินิจมีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวจำเลยให้การต่อสู้แต่เพียงว่า ขณะฟ้องคดีนี้อธิบดีกรมศิลปากรยังมีตัวดำรงตำแหน่งปฏิบัติราชการได้ นายพินิจรองอธิบดีจึงไม่มีอำนาจฟ้องเท่านั้น ดังนั้นปัญหาว่ามีรองอธิบดีกี่คนและปลัดกระทรวงได้แต่งตั้งให้นายพินิจรองอธิบดีรักษาราชการแทนหรือไม่ จึงไม่มีประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบ
ปัญหาต่อไปตามที่จำเลยฎีกาว่า นางอำไพทำสัญญารับสภาพหนี้ต่อโจทก์โดยสามีไม่ให้ความยินยอม จึงเป็นโมฆะนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้การว่า นางอำไพทำสัญญารับสภาพหนี้โดยนายเสรีสามีไม่ได้ให้ความยินยอม นายเสรีจะบอกล้างต่อไปซึ่งจำเลยจะยื่นคำให้การเพิ่มเติมเมื่อนายเสรีบอกล้างนิติกรรมดังกล่าว แต่ทางพิจารณาจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การเพิ่มเติม จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย
สำหรับปัญหาต่อไปว่า สัญญาค้ำประกันเป็นโมฆะหรือไม่ โจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้นางอำไพหรือไม่ และจำเลยจะผ่อนชำระหนี้แก่ดจทก์เฉพาะหนี้ที่ถึงกำหนดได้หรือไม่ โจทก์มีพยานคือ นายพินิจ นางสมใจ และนายเอกชัยเบิกความว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน สัญญารับสภาพหนี้ที่นางอำไพทำไว้กับโจทก์ โจทก์เสนอเรื่องผ่านกระทรวงศึกษาธิการไปยังกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังมีหนังสืออนุมัติและโจทก์มีเอกสารมาสืบคือ สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๗ ข้อ ๑ มีข้อความว่า จำเลยยอมรับเป็นผู้ค้ำประกันนางอำไพซึ่งทำสัญญารับสภาพหนี้กับโจทก์ลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ เป็นเงิน ๑๑๐,๙๓๙.๒๐ บาท กำหนดชำระหนี้ภายใน ๑๘ ปี ๖ เดือน นับแต่เดือนมกราคม ๒๕๑๖ จำเลยลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกัน สำเนาหนังสือของกระทรวงศึกษาธิการถึงกระทรวงการคลังขออนุมัติให้นางอำไพ ผ่อนชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ ซึ่งตามเอกสารหมาย จ.๔ กล่าวถึงจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการรับสภาพหนี้ของนางอำไพด้วย หนังสือกระทรวงการคลังถึงกระทรวงศึกษาธิการตามเอกสารหมาย จ.๕ อนุมัติตามข้อตกลงที่นางอำไพขอผ่อนชำระตามสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาค้ำประกันของจำเลย และหนังสือให้นางอำไพนำเงินงวดแรก ๕๐๐ บาท กับงวดเดือนกันยายน และตุลาคม ๒๕๑๖ ไปชำระตามเอกสารหมาย จ.๘,จ.๙ พยานโจทก์เชื่อมโยงกันสมเหตุสมผลเป็นที่เชื่อได้ ส่วนจำเลยมีพยานคือตัวจำเลยเพียงคนเดียวเบิกความว่านายเสรีเอาสัญญาค้ำประกันซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความไปบอกว่า นายเสรีจะยืมเงินทางราชการ ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้ลงชื่อค้ำประกันให้ จำเลยจึงลงชื่อค้ำประกันให้ซึ่งขัดกับคำให้การที่ว่านางอำไพขอร้องให้จำเลยค้ำประกันนางอำไพเพื่อกู้เงินโจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยจึงลงชื่อในสัญญาค้ำประกันซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความ พยานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๗ โดยรู้ว่าเป็นการค้ำประกันหนี้ที่นางอำไพทำสัญญารับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์ และที่สัญญาค้ำประกันมีการขีดฆ่าข้อความบางแห่งในแบบพิมพ์ก็เป็นข้อความที่พิมพ์เกินไว้ เมื่อไม่ใช้ก็ขีดฆ่าออกไม่ใช่ข้อความสารสำคัญ แม้ผู้ขีดฆ่าจะไม่ได้ลงชื่อไว้ก็ไม่เป็นเหตุที่สัญญาค้ำประกันรับฟังไม่ได้ ส่วนสัญญาค้ำประกันข้อ ๒ ที่มีข้อความว่าถ้านางอำไพผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยยอมชำระเงินที่นางอำไพยังค้างชำระอยู่ให้แก่โจทก์จนครบถ้วนทันทีไม่ว่าจะมีทางเรียกให้นางอำไพชำระหนี้ได้หรือไม่ก็ตามนั้น ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ขัดกฎหมาย สัญญาค้ำประกันไม่เป็นโมฆะและใช้บังคับได้ โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันได้เมื่อนางอำไพผิดนัดไม่ชำระ และตามสัญญารับสภาพหนี้ลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ ข้อ ๕ มีข้อความว่า สัญญาดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ต่อเมื่อกระทรวงการคลังเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนอันเป็นข้อสารสำคัญในสัญญาดังกล่าว สัญญาข้อ ๒ ที่นางอำไพจะเริ่มผ่อนชำระตั้งแต่มกราคม ๒๕๑๖ เป็นต้นไป คงเป็นการกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยคาดว่า กระทรวงการคลังจะอนุมัติมาก่อน เมื่อปรากฏว่ากระทรวงการคลังมีหนังสือลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๖ ตอบอนุมัติ สัญญารับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับเมื่อกระทรวงการคลังอนุมัติ พฤติการณ์ดังกล่าวไม่ใช่กรณีที่โจทก์ผ่อนเวลาให้แก่นางอำไพ สำหรับการที่นางอำไพทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชำระหนี้แก่โจทก์โดยตกลงจำนวนเงินและกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน เดือนละ ๕๐๐ บาท ทุกวันที่ ๑๐ ของเดือนโดยไม่แยกจำนวนหนี้เป็นรายๆ ออก ต่างหากจากกันนั้น เมื่อนางอำไพไม่ปฏิบัติตามสัญญาโดยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตั้งแต่งวดแรกตลอดมา ถือได้ว่าเป็นการผิดสัญญารับสภาพหนี้ซึ่งจะต้องชำระหนี้ที่ค้างชำระอยู่ทั้งหมดแก่โจทก์ ฉะนั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดตามจำนวนหนี้ทั้งหมดที่นางอำไพต้องรับผิดดังกล่าวต่อโจทก์
พิพากษายืน.